จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตแล้ว ยังส่งผลต่อการซื้อบ้านในอนาคต หรือการเช่าบ้านด้วยเช่นกัน
ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้เปิดช่องทาง "คลินิกแก้หนี้" ขึ้น เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน เพื่อให้มีโอกาสแก้ปัญหาหนี้ ควบคู่กับการส่งเสริมเรียนรู้การวางแผนและสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้แก่ลูกหนี้และประชาชนที่สนใจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ ธปท. จะช่วยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน เพื่อส่งต่อข้อมูลการขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไปยังผู้ให้บริการทางการเงิน ได้แก่ สถาบันการเงินสมาชิก และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM
อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
- รู้จักคลินิกแก้หนี้
- คลินิกแก้หนี้ช่วยปลดหนี้อย่างไร
- เช็กรายชื่อธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
- ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
รู้จักกับโครงการ "คลินิกแก้หนี้"
โครงการ "คลินิกแก้หนี้" เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 ขับเคลื่อนการแก้หนี้ครัวเรือนมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันโครงการคลินิกแก้หนี้ อยู่ในระยะที่ 3 โดยได้ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว
เทคนิคใช้บัตรเครดิต
เช็ก 3 เทคนิคใช้บัตรเครดิต ไม่ให้เป็นหนี้ ได้ที่นี่
คลินิกแก้หนี้ช่วยปลดหนี้อย่างไร
ขั้นตอนการดำเนินการของคลินิกแก้หนี้ หลัก ๆ จะมีด้วยกัน 2 ข้อ ซึ่งช่วยลูกหนี้ปลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการปลดหนี้ด้วยตนเอง
ทางลัดปลดหนี้นอกระบบ
เช็ก 6 ทางลัดปลดหนี้นอกระบบ และสินเชื่อปิดหนี้นอกระบบ
1. ช่วยประสานงานกับเจ้าหนี้
SAM ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยเจรจาและประสานงานระหว่างเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหนี้บัตรที่อาจมีเจ้าหนี้หลายรายเกิดขึ้นได้ ซึ่งปกติเวลามีเจ้าหนี้หลายรายการเจรจาให้สำเร็จเบ็ดเสร็จเกิดขึ้นยาก
โครงการนี้จะช่วยให้รวมหนี้ให้เบ็ดเสร็จ ลูกหนี้จะไม่ถูกทวงจากเจ้าหนี้หลายราย รวมทั้งจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและปรับโครงสร้างหนี้
2. ช่วยยืดระยะเวลาผ่อน ยอดผ่อนแต่ละเดือนต่ำ
ลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ผ่อนปรนเป็นพิเศษ คือ ผ่อนเฉพาะเงินต้น โดยมีระยะเวลาผ่อนนานถึง 10 ปี ซึ่งปกติถ้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เดิมอาจถูกเรียกให้จ่ายคืนภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 6 เดือน

การไม่เร่งรัดและให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานเพียงพอ หมายความว่า ยอดที่ต้องผ่อนต่อเดือนจะไม่สูง ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 4-7% (เทียบกับบัตรเครดิต ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 18% และบัตรกดเงินสด 28%) เช่น ถ้ามีหนี้ 50,000-100,000 บาท ยอดผ่อนต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 600 และ 1,200 บาทเท่านั้น และเมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นตามสัญญาจะยกดอกเบี้ยค้างชำระให้ทั้งหมด
เช็กรายชื่อสถาบันการเงิน non-bank ที่เข้าร่วมโครงการ
ปัจจุบันโครงการคลินิกแก้หนี้ มีสถาบันการเงิน non-bank และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นสมาชิกรวม 35 แห่ง ทำให้โครงการฯ กลายเป็น “เครือข่ายที่ช่วยเหลือประชาชนแก้หนี้บัตร” ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ประกอบด้วย
ธนาคารพาณิชย์ 17 แห่ง
1. ธนาคารกรุงเทพ
2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
3. ธนาคารกสิกรไทย
4. ธนาคารซีไอเอ็มบี (ไทย)
5. ธนาคารทหารไทยธนชาต
6. ธนาคารทิสโก้
7. ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย
8. ธนาคารไทยพาณิชย์
9. ธนาคารยูโอบี
10. ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์
11. ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย)
12. ธนาคารไอซีบีซี
13. ธนาคารออมสิน
ผู้ประกอบการ non-bank 18 แห่ง
1. บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน): จี แคปปิตอล
2. บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด: เจ มันนี่
3. บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด: บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน
4. บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด: ซัมมิท แคปปิตอล
5. บริษัท ซิตี้คอร์ปลิสซิ่ง จากัด: สินเชื่อซิตี้คอร์ป
6. เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด: บัตรเทสโก้
7. บริษัท นครหลวง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน): นครหลวง แคปปิตอล
8. บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด: บัตรเครดิตกรุงศรีอยุธยา
9. บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด: พรอมิส
10. บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน): เมืองไทย แคปปิตอล
11. บริษัท แมคคาเล กรุ๊พ จำกัด (มหาชน): แมคคาเล กรุ๊พ
12. บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน): ศักดิ์สยามลิสซิ่ง
13. บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด: กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์
14. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน): บัตรอิออน
15. บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน): ยูเมะพลัส
16. บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน): เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง
17. บริษัท ไอทีทีพี จำกัด: สินเชื่อ ไอทีทีพี
18. บริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล จำกัด (มหาชน): เอ มันนี่

คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ
1. เป็นบุคคลธรรมดา ที่มีรายได้ อายุไม่เกิน 70 ปี
2. เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มี หลักประกันของสถาบันที่เข้าร่วมโครงการ
3. เป็นหนี้เสีย (NPL) ค้างชำระมากกว่า 120 วัน (ตามรายงานเครดิตบูโร ณ เดือนปัจจุบันต้องมีสถานะค้างชำระตั้งแต่ 121-150 วันขึ้นไป)
4. หนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท
5. ไม่เป็น บุคคลล้มละลาย
ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ
ขั้นตอนที่ 2 กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มใบสมัคร
ขั้นตอนที่ 3 จัดเตรียมเอกสารประกอบการเข้าร่วมโครงการ ดังนี้
1. ใบสม้ครเข้าร่วมโครงการ
2. รายงานเครดิตบูโร (ครบทุกหน้า)
3. สำเนาบัตรประชาชน
4. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
5. เอกสารแสดงรายได้ (แยกตามกรณี)
– กรณีพนักงานประจำ: สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 1 เดือน
– กรณีอาชีพอิสระ: รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ (ตามแบบฟอร์มแนบท้ายใบสมัคร)
ขั้นตอนที่ 4 ส่งเอกสารมาที่ ตู้ ปณ. 40 ปณฝ.ซันทาวเวอร์ส กรุงเทพฯ 10905 (แนะนำส่งผ่านไปรษณีย์ไทย เพื่อสามารถตรวจสอบการจัดส่งและป้องกันการสูญหายของเอกสาร)
หมายเหตุ: สามารถขอข้อมูลเครดิตบูโรได้ที่ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร, เคาน์เตอร์ธนาคาร, ATM, Mobile App, ที่ทำการไปรษณีย์ไทย และ Internet Banking
วิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้
สมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ ได้หลายช่องทาง ดังนี้
1. ผ่านทางเว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com
2. ผ่านทางไลน์@ ID: debtclinicbysam
3. ติดต่อที่ สำนักงานโครงการ
ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน ห้องหมายเลขที่ C401B-C401C ถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ลงรถไฟฟ้า BTS รัชโยธิน ทางออก 1 (ติดเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน) เวลา 9.00-19.00 น.
ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 1443 ทุกวัน เวลา 9.00-19.00 น.
ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ คิดอย่างไรให้เป็นธรรม
นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดภาระหนี้ สร้างความเป็นธรรมในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชน และลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบการเงิน ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติที่สำคัญในระบบการเงินของไทยใน 3 เรื่อง คือ

1. การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนฐานของ “เงินต้นที่ผิดนัดจริง” เท่านั้น ไม่ให้รวมส่วนของเงินต้นของค่างวดในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ต่างจากแนวปฏิบัติเดิมที่หากผิดนัดชำระหนี้เพียงงวดเดียว ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากฐานเงินต้นคงค้างทั้งหมด ส่งผลให้มูลค่าดอกเบี้ยผิดนัดสูงมาก ซึ่งเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และเกิดความเป็นธรรมกับประชาชนมากขึ้น

2. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ที่ “อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวกไม่เกิน 3%” เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาคือ 8% ผู้ให้บริการทางการเงินจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 11% โดยต้องคำนึงถึงประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาด้วย
ต่างจากเดิมที่ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ได้เอง เช่น กำหนดตามอัตราดอกเบี้ยสูดสุดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ 15% หรือบางกรณีสูงถึง 18% หรือ 22% ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ (affordability risk) ได้ ดังนั้น การปรับเกณฑ์ในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้พยายามจ่ายชำระหนี้ ลดโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ และยังช่วยให้ระบบการเงินมีความสมดุลมากขึ้น การฟ้องร้องดำเนินคดีจะลดลง

3. การกำหนดลำดับการตัดชำระหนี้โดยให้ “ตัดค่างวดที่ค้างชำระนานที่สุดเป็นลำดับแรก” เพื่อให้ลูกหนี้ทราบลำดับการตัดชำระหนี้ที่ชัดเจน โดยเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ เงินที่จ่ายเข้ามาจะถูกนำไปจ่ายค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และเงินต้นของงวดหนี้ที่ค้างชำระนานที่สุดก่อน ต่างจากแนวทางเดิมที่เงินที่จ่ายเข้ามาจะถูกนำไปตัดค่าธรรมเนียมทั้งหมด ตามด้วยดอกเบี้ยทั้งหมด ก่อนนำเงินส่วนที่เหลือมาตัดเงินต้น
การปรับเกณฑ์ใหม่นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เงินงวดที่ลูกหนี้ผ่อนในแต่ละเดือนสามารถตัดถึงเงินต้นได้มากขึ้น ช่วยลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพหรือ NPL รวมทั้งช่วยให้ลูกหนี้มีกำลังใจในการจ่ายชำระหนี้ต่อเนื่อง และยังช่วยให้ประวัติการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น
ประกาศการกำหนดเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ยกเว้นเรื่องลำดับการตัดชำระหนี้ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
สำหรับการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 เมษายน 2564 ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถนำหลักการตามประกาศฉบับใหม่มาใช้พิจารณายกเว้นหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ตามสมควร
หากมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม สามารถสอบถามหรือร้องเรียนได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร. 1213
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ