สิ่งหนึ่งที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้คือ "เงินบริจาค" ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคให้วัด โรงเรียน หรือมูลนิธิต่าง ๆ แต่ไม่ใช่ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริจาคไปจะใช้ลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด ลองมาดูรายละเอียดและเงื่อนไขของการใช้เงินบริจาค ลดหย่อนภาษี 2568 ว่าเป็นอย่างไรได้ที่นี่
อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
- เงินบริจาคทั่วไปลดหย่อนได้ไม่เกิน 10%
- เงินบริจาคแบบไหนได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า
- เงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation ลดหย่อนภาษีได้
- บริจาคผ่านระบบ e-Donation อย่างไร
- บริจาคหลายคนลดหย่อนภาษีอย่างไร
- ตัวอย่างการใช้เงินบริจาคลดหย่อนภาษี
เงินบริจาคทั่วไปลดหย่อนได้ไม่เกิน 10%
เงินบริจาคทั่วไป ใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินบริจาค
เงินได้สุทธิ = (เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนอื่น ๆ) – เงินบริจาค
เงินบริจาคแบบไหนได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า
เงินบริจาค ลดหย่อนภาษีได้พิเศษสามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ เงินบริจาคพิเศษ ได้แก่
1. เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา
ต้องเป็นเงินบริจาคให้แก่สถานศึกษาของรัฐ โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
– จัดหาหรือจัดสร้างอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินให้แก่สถานศึกษา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา
– จัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อการศึกษา แบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
– จัดหาครูอาจารย์ หรือเป็นทุนการศึกษา การประดิษฐ์ การพัฒนา การค้นคว้า หรือการวิจัย สำหรับนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษาของสถานศึกษา
2. เงินบริจาคสนับสนุนโรงพยาบาลรัฐ
ต้องเป็นเงินบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ และรวมถึงดังต่อไปนี้
– สถานพยาบาลของสถานศึกษาของรัฐ
– สถานพยาบาลขององค์การมหาชน
– สถานพยาบาลของรัฐวิสาหกิจ
– สถานพยาบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
– สถานพยาบาลของสภากาชาดไทย
– สถานพยาบาลของหน่วยงานอื่นของรัฐ
3. เงินบริจาคพิเศษอื่น ๆ
– เงินบริจาคสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กองทุนสนับสนุนการวิจัยตามกฎหมาย, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข
– เงินบริจาคสนับสนุนการกีฬาให้สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยต่าง ๆ
– เงินบริจาคให้แก่สถานศึกษาของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเพื่อใช้ในการจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน
– เงินบริจาคให้กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาจัดตั้งขึ้น
– เงินบริจาคให้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้คนพิการได้รับสิทธิเข้าถึง และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะตลอดจนสวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
– เงินบริจาคให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
– เงินบริจาคให้โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม
ทั้งนี้ ผู้ที่บริจาคสนับสนุนการศึกษา เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี 2 เท่า จะต้องบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เท่านั้น
รายละเอียดและเงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีจากเงินบริจาคอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช็กรายละเอียดและเงื่อนไขอีกครั้งจากเว็บไซต์กรมสรรพากร

เงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation ลดหย่อนภาษีได้
กรมสรรพากรแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป การบริจาค ได้แก่ วัดวาอาราม, มูลนิธิ, สมาคม, กองทุน และองค์การต่าง ๆ* เพื่อหักลดหย่อนภาษีต้องดำเนินการผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation เท่านั้น
*ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่ 2
บริจาคผ่านระบบ e-Donation อย่างไร
ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation เป็นระบบที่พัฒนาโดยกรมสรรพากร ใช้รองรับข้อมูลการบริจาค เพื่อให้ผู้บริจาคไม่จำเป็นต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเมื่อจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
แจ้งความประสงค์จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 ช่องทาง คือ
1. กรณีบริจาคด้วยเงินสดที่หน่วยรับบริจาค ให้แจ้งหน่วยรับบริจาคบันทึกข้อมูลการบริจาคบน e-Donation ได้ทันที เพื่อส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรต่อไป
2. กรณีบริจาคผ่านธนาคารพาณิชย์โดยการโอนเงินด้วย QR Code ให้สังเกตแผ่นป้าย QR Code ต้องมีคำว่า "e-Donation" และชื่อบัญชีเงินฝาก "หน่วยรับบริจาค" เมื่อสแกน QR Code แล้ว จะมีข้อความแจ้งความประสงค์ให้ธนาคารส่งข้อมูลการบริจาคของเราให้กรมสรรพากร เพื่อขอหักลดหย่อนภาษี
ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการและเปิดให้บริการระบบ e-Donation แล้ว มีดังนี้
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารทหารไทยธนชาต
- ธนาคารออมสิน
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
- ธนาคารมิซูโฮ
บริจาคหลายคนลดหย่อนภาษีอย่างไร
สำหรับกรณีที่มีการบริจาคเงินร่วมกันหลายคน โดยมีชื่อทุกคนอยู่ในใบเสร็จรับเงินบริจาค จะถือว่าแต่ละคนบริจาคเงินคนละเท่า ๆ กัน โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่หารเฉลี่ยแล้ว หรือสองเท่าของเงินที่หารเฉลี่ยถ้าเป็นการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษา
ในกรณีที่มีการเขียนชื่อผู้บริจาคที่มีคำว่า "และครอบครัว" เช่น นาย A และครอบครัว แบบนี้ถือว่านาย A เป็นผู้บริจาคเงิน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนเงินบริจาคได้ทั้งจำนวน

หลักฐานในการยืนยันการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี
การใช้สิทธิลดหย่อนจากเงินบริจาคจะต้องมีหลักฐานเพื่อประกอบการยื่นภาษี นั่นคือ ใบอนุโมทนาบัตรหรือใบเสร็จรับเงินที่มีมีข้อความที่แสดงถึง ชื่อองค์กรที่บริจาคเงิน วันเดือนปีที่ออกใบเสร็จหรือใบอนุโมทนาบัตร ชื่อผู้บริจาคเงิน และจำนวนเงินที่บริจาค (แต่ถ้าบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation ไม่ต้องใช้หลักฐานการบริจาค)
รายการลดหย่อนภาษี
ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี มีอะไรที่ช่วยให้คุณลดหย่อนภาษีได้บ้าง เช็กได้ที่นี่
ตัวอย่างการใช้เงินบริจาคลดหย่อนภาษี
ลองมาดูตัวอย่างการใช้สิทธิลดหย่อนจากเงินบริจาค สมมติให้นาย B บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษา 100,000 บาท นาย B สามารถนำใบเสร็จของสถานศึกษาที่บริจาคมาเป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 200,000 บาท แต่ก่อนที่นาย B จะใช้สิทธิลดหย่อนต้องดูว่าเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ เป็นเท่าไร
หากนาย B มีเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนอื่น ๆ อยู่ที่ 1.5 ล้านบาท นาย B จะใช้สิทธิได้เพียง 150,000 บาทเท่านั้น เพราะการลดหย่อนจะต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ
จะเห็นได้ว่าเงินบริจาคนอกจากจะเป็นการทำบุญให้หน่วยงาน หรือองค์กรการกุศลต่าง ๆ ยังได้ผลตอบแทนทางภาษีโดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเพิ่มเข้ามาด้วย
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ