หลังจากโจทย์ที่ได้รับคือการพลิกที่ดินผืนใหญ่ล็อตสุดท้ายบนถนนสายประวัติศาสตร์อย่างราชดำริให้กลายเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ สถาปนิคหนุ่มไฮโปรไฟล์อย่าง “สุรวัฒน์ หาญทวิชัย” ผู้อำนวยการงานออกแบบ ของแมกโนเลีย ไฟน์เนสท์ คอร์ปอเรชั่น ต้องใช้เวลารวบรวมไอเดียและแรงบันดาลใจนานเกือบปีจนได้คำตอบสุดท้ายออกมาเป็นตึกดีไซน์อ่อนช้อยรูปทรงดอกจำปี ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ภายใต้ชื่อ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด”
“บรีฟที่เจ้าของโครงการให้มาในตอนแรกคือ ทำอย่างไรให้ตึกนี้เป็นแลนด์มาร์ค ในขณะที่ทุกยูนิตต้องเห็นราชกรีฑาสโมสร และวิวเมืองที่สวยงาม” สุรวัฒน์กล่าว “ถ้าเรามองดูตึกที่มีอยู่รอบๆ บริเวณจะเห็นว่าเป็นตึกสี่เหลี่ยมๆ ที่ดูแข็งๆ เหมือนผู้ชาย เราจึงกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตึกที่เรากำลังจะสร้างเป็นอะไรที่แตกต่างและที่สำคัญคือต้องเป็นซิกเนเจอร์ของแมกโนเลียฯ ในใจกลางกรุงเทพฯ”
“เมื่อมองกลับมาที่โลโก้ของบริษัท ซึ่งเป็นรูปดอกจำปีที่กลีบมีเส้นสายแสดงถึงความอ่อนช้อย จากเกสรมีการไล่สีออกมาจากเหลืองๆทองๆ ไปจนถึงขาวนวล เราจึงเอาตรงจุดนี้มาปรับใช้กับการออกแบบตัวตึก ซึ่งต้องยอมรับว่ากว่าจะมาถึงแบบสุดท้ายที่ออกมานี้ เราได้ลองร่างออกมากว่า 20 แบบ”
สุรวัฒน์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการออกแบบโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่โครงการล่าสุดของค่ายแมกโนเลียฯ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเรสซิเดนซ์จำนวน 316 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 1 -2 ห้องนอน ไปจนถึงห้องเพนท์เฮ้าส์และดูเพล็กซ์ เพนท์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 48-360 ตารางเมตร และส่วนที่เป็นโรงแรมระดับ 6 ดาว “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย” (Waldorf Astoria) ในเครือโรงแรมฮิลตัน
ทั้งนี้ ในส่วนของการออกแบบนั้น สุรวัฒน์จะเป็นผู้รับผิดชอบการออกแบบภาพรวมของโครงการ ในขณะที่ส่วนของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ทางโรงแรมจะจ้างทีมจากต่างประเทศเข้ามาดูแลการตกแต่งภายในเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของโรงแรม
นอกจากความสวยงามภายนอกแล้ว สิ่งที่สถาปนิคหนุ่มดีกรีปริญญาโท สาขาการออกแบบสถปัตยกรรมขั้นสูง จาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก ให้ความสำคัญคือการออกแบบภายในตัวอาคาร
“เราตั้งใจที่จะทำตึกนี้ให้เป็นตึกที่อนุรักษ์พลังงาน ในการออกแบบ โดยการประยุกต์แนวคิดสถาปัตยกรรมของบ้านไทย ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อนอย่างกรุงเทพฯ เช่น การศึกษาทิศทางของแสงแดดและการคำนวณระดับความร้อนภายในตัวตึกอย่างแม่นยำเพื่อมาออกแบบในส่วนของชายคา (Sunshade) ของตัวอาคาร และส่วน façadeที่โอบล้อมตัวอาคาร นอกจากนี้ เรามีการนำกระจกฉนวน (IGU) ซึ่งเป็นกระจกแบบสองชั้นมาใช้เพื่อช่วยลดความร้อนภายในห้อง ในขณะที่ระบบทำความเย็นก็มีการใช้ระบบน้ำทำความเย็นในท่อ ซึ่งจะไม่ปล่อยความร้อนออกมานอกอาคาร”
โดยสุรวัฒน์ให้นิยามการออกแบบของตึกนี้ว่าเป็น High performance building หรือตึกทรงประสิทธิภาพ ที่มีการผสานความงามและการประหยัดพลังงานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
แม้จะผ่านการออกแบบงานในระดับอินเตอร์มาหลายต่อหลายงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบคอนเสิร์ตฮอลล์ อลิซ ทูลลี่ (Alice Tully) ในศูนย์ศิลปะการแสดงลินคอล์น (Lincoln Centre for Performing Arts) ในนิวยอร์ก และพิพิธภัณฑ์ศิลปะคลีฟแลนด์ (Cleveland Museum of Arts) ในรัฐโอไฮโอของสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับการออกแบบที่อยู่อาศัยแล้วสุรวัฒน์มองว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“คนจะมองว่าการออกแบบที่อยู่อาศัยนั้นง่าย จริงๆ ก็ไม่ง่ายนะ ผมมองว่าการออกแบบที่อยู่อาศัยเราต้องใช้ความใส่ใจและความเข้าถึงสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยต้องการให้ได้มากที่สุด เราต้องวางตัวเองให้เป็นผู้ที่จะอยู่อาศัยบ้านหรือห้องนั้นๆ แล้วคิดว่าต้องทำแบบไหนที่เราอยู่จริงแล้วจะรู้สึกสะดวกสบายที่สุด ในขณะเดียวกันเราต้องเพิ่มความพิเศษให้กับแต่ละโครงการที่ออกแบบด้วย ซึ่งผมว่ายากกว่างานสำหรับสาธารณะเยอะ”
ด้วยมูลค่าโครงการที่สูงถึง 6,000 ล้านบาท สิ่งที่หลายคนคิดอาจจะเป็นก้อนเงินมหาศาลที่ต้องทุ่มไปกับทุกขั้นตอน แต่ในฐานะผู้ออกแบบโครงการ สุรวัฒน์ยืนยันว่า ความหรูหราไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากแต่ขึ้นอยู่กับการออกแบบ เพราะการใช้องค์ประกอบที่มีราคาแพง บางทีคนดูแล้วอาจจะไม่รู้สึกว่าดูแพงหรือหรู แต่สิ่งสำคัญคือการทำอย่างไรให้ออกมาดูดี
“การออกแบบโครงการไม่ว่าจะลักซ์ชัวรี่แค่ไหน สิ่งที่คนออกแบบควรคำนึงถึงก็คือประสบการณ์และการสร้างความรู้สึกประทับใจให้กับผู้อยู่อาศัยตั้งแต่แรกเห็นจากภายนอกตัวตึก เข้ามาตามทางเดิน สู่ส่วนที่เป็นล็อบบี้ ลิฟต์ มาจนถึงตัวห้อง รวมไปถึงองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้อยู่แล้วรู้สึกสบายมากที่สุด”
“ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้มีการสร้างโครงการที่เป็นแบบ High performance building ในเมืองไทยให้มากขึ้น ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้อาคารสวยด้วยและประหยัดพลังงานด้วย ผมหวังว่าถ้าโครงการนี้สร้างเสร็จแล้วจะเป็นการกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับโครงการแนวสูงบ้านเรา อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นตึกที่ประหยัดพลังงานทั้งตึก แต่มีบางส่วนที่มีองค์ประกอบที่ให้ความสำคัญในเรื่องการประหยัดพลังงานบ้างก็ยังดี”
เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง
สนทนากับกูรู: ปรับ…ผมเปลี่ยนเพื่อโต
สนทนากับกูรู: เสียงสะท้อนจากนายหน้า
สนทนากับกูรู: 5 คำถามกับสรพจน์ เตชะไกรศรี
สนทนากับกูรู: ปรับ…ผมเปลี่ยนเพื่อโต
สนทนากับกูรู: เสียงสะท้อนจากนายหน้า
สนทนากับกูรู: 5 คำถามกับสรพจน์ เตชะไกรศรี