ในตอนก่อนหน้านี้ เรามีการพูดถึงเหตุผลที่เราควรพิจารณาการทำประกันภัยบ้านไปแล้ว วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประกันภัยในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่สเกลความคุ้มครองใหญ่กว่า นั่นก็คือ “ประกันภัยพิบัติ” ที่เริ่มเป็นที่พูดถึงกันอย่างหนาหูหลังจากเกิดมหาอุทกภัยช่วงปลายปี 2554
และจากวิกฤติระดับประเทศในครั้งนั้นเอง รัฐบาลได้มีการจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ” ขึ้นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยการรับประกันภัย และการทำประกันภัยต่อ และให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยโดยจัดให้มีการรับประกันภัยในจำนวนสูงสุด (Capacity) ในอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความคุ้มครองภัยพิบัติได้อย่างทั่วถึง
ในการขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติแก่ประชาชน และผู้ประกอบการ บริษัทประกันภัยจะรับความเสี่ยงไว้เองขั้นต่ำ 0.5-1% ส่วนที่เหลือบริษัทประกันภัยจะส่งต่อความเสี่ยงไปยังกองทุนฯ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการรับประกันภัยต่อ (Reinsurance) โดยกองทุนฯ เป็นผู้รับความเสี่ยงไว้เองส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะโอนความเสี่ยงไปยังบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ
ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติจะให้ความคุ้มครองภัยพิบัติ 3 ภัย ได้แก่ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และลมพายุ โดยมีคำจำกัดความของคำว่า “ภัยพิบัติ” ว่าหมายถึง ภัยธรรมชาติที่เข้าลักษณะความรุนแรงถึงขั้นเป็นภัยพิบัติ ดังนี้
- คณะรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติรุนแรง ตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ
- กรณีค่าสินไหมทดแทนรวมของผู้เอาประกันภัย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติมากกว่า 5,000 ล้านบาทต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน 60วัน โดยมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป หรือ
- กรณีธรณีพิบัติความรุนแรงของแผ่นดินไหวตั้งแต่ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป หรือ
- กรณีวาตภัย ความเร็วของลมพายุตั้งแต่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
รูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ จะเป็นแบบจำกัดความรับผิด (Sub Limit) โดยมีความคุ้มครอง ดังนี้

สำหรับธุรกิจ SME และอุตสาหกรรม ผู้เอาประกันภัยที่ต้องการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ จะต้องมีกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) เป็นกรมธรรม์ประกันภัยหลักก่อน
ในกรณีอุทกภัย กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติจะไม่คุ้มครองทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ภาครัฐกำหนดให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ ซึ่งภาครัฐได้ให้ความช่วยเหลือโดยตรงอยู่แล้ว เช่น พื้นที่กักเก็บน้ำ หรือทางน้ำผ่าน เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน
สำหรับวิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนนั้น บริษัทประกันภัยจะเข้าสำรวจและประเมินความเสียหาย โดยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ยกเว้นกรณีอุทกภัยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย เนื่องจากมีผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จึงจะพิจารณาที่ระดับน้ำเป็นเกณฑ์

ในตอนหน้า เราจะมานำตัวอย่างคำถามที่มักจะพบบ่อยเกี่ยวกับกองทุนฯ และประกันภัยพิบัติมาให้ได้ติดตามกันต่อนะคะ
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ