สิงห์ เอสเตทเตรียมทุ่มงบ 100,000 ล้านบาทรุกธุรกิจอสังหาฯ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ แย้มช่วง 3 ปีแรกเน้นการซื้อธุรกิจ-ร่วมทุน เชื่อปีหน้าพลิกขาดทุนเป็นกำไร พร้อมขึ้นแท่น Top 5 ในด้านรายได้ในปี 2561
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าหลังจากที่บริษัทซึ่งมีกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่และนายสันติ ภิรมย์ภักดีเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้เข้าเทคโอเวอร์ รสา พร็อพเพอร์ตี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาและได้ทำการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “S” ปรากฏว่าแม้ราคาหลักทรัพย์จะพุ่งขึ้นเกือบ 360% แต่ในด้านผลประกอบการยังเป็นตัวเลขติดลบ โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาตัวเลขขาดทุนราว 77 ล้านบาทและคาดว่าจะขึ้นไปแตะกว่า 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีรายได้เข้ามาเลย อย่างไรก็ดี บริษัทมีความมั่นใจว่าภายในปีหน้านี้ บริษัทจะพลิกสถานการณ์กลับมามีกำไรได้แน่นอน
“เราอยากเข้ามาในธุรกิจอสังหาฯ แต่ไม่ใช่ในแบบ “Me too” ที่ใครทำเราก็ทำบ้าง แต่จะทำให้เป็น “Best in class” คือดีที่สุดในเซ็กเมนต์นั้นๆ แน่นอนว่าอสังหาฯ แต่ละอย่างจะมีผู้นำในตลาดนั้นๆ อยู่แล้ว การที่เข้ามาทีหลังต้องยอมรับไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงต้องนำจุดแข็งของกลุ่มบุญรอดฯ มาต่อยอด” นายนริศกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้แย้มแผนธุรกิจในช่วง 5 ปี คือตั้งแต่ปี 2558-2562 โดยได้เตรียมงบลงทุนรวม 100,000 ล้านบาทในการรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทุกรูปแบบ ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน ธุรกิจค้าปลีก นิคมอุตสาหกรรม และแวร์เฮ้าส์ โดยโครงการภายใต้งบลงทุนดังกล่าว ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูส “สิงห์ คอมเพล็กซ์” ขนาดพื้นที่กว่า 11 ไร่บนถนนอโศก-เพชรบุรี ซึ่งจะประกอบด้วยอาคารสำนักงาน คอนเสิร์ตฮอลล์ขนาด 4,000 ที่นั่ง โรงแรมและพื้นที่ค้าปลีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปแบบในขั้นตอนสุดท้ายและการยื่นประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือ EIA โดยจะเริ่มการก่อสร้างในปีหน้าก่อนที่จะแล้วเสร็จในปี 2560
ในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยจะเริ่มจากโครงการคอนโดมิเนียมบนที่ดินประมาณ 2 ไร่ในย่านอโศก ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปีหน้า, โครงการบ้านจัดสรรหรูบนพื้นที่กว่า 30 ไร่บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรมราคา 140 ล้านบาทต่อยูนิต และโครงการบ้านจัดสรรที่บริษัทกำลังจะเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทอสังหาฯ รายหนึ่งมูลค่าการลงทุนราว 3,000 ล้านบาท
ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกนั้น บริษัทจะเน้นไปที่การพัฒนาไลฟ์สไตล์มอลล์ โดยทำเลที่เล็งไว้ได้แก่ ในกรุงเทพฯ หัวหิน ขอนแก่น และโคราช
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดให้บริการโรงแรมสันติบุรี สมุยอีกครั้งในวันที่ 20 ธันวาคม 2557 หลังจากปิดปรับปรุงครั้งใหญ่มาเป็นเวลา 3 เดือนครึ่ง และอีกหนึ่งโครงการโรงแรมในทำเลท่องเที่ยวชื่อดังที่บริษัทกำลังจะเข้าไปซื้อกิจการ มูลค่าราว 3,000 ล้านบาท
“ในช่วง 3 ปีแรกเราจะเน้นเขาซื้อกิจการและการร่วมทุนเป็นหลัก ในตอนนี้ยังมีอีกอย่างน้อย 2-3 รายการที่อยู่ระหว่างการเจรจาทั้งในธุรกิจโรงแรมและอื่นๆ อีก และตลอดระยะเวลา 5 ปีจะมีการเข้าซื้อกิจการ/ ร่วมทุนปีละ 2-3 รายการ และมีการเข้าซื้อ-ร่วมทุนโรงแรมรวม 7-8 แห่ง”
นายนริศกล่าวต่อว่าบริษัทจะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากโครงการที่บริษัทพัฒนาในปี 2561-2562 และจะสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มบุญรอดฯ โดยมีสัดส่วนรายได้หมุนเวียนประจำ (recurring income) ราว 50% ของรายได้ของสิงห์ เอสเตท
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่