จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ผังเมืองของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกานั้นมีความเป็นระเบียบมาก เขาทำได้อย่างไร และมีผลลัพธ์จากการวางผังเมืองที่เป็นระเบียบนี้อย่างไรบ้าง หาคำตอบไปพร้อมกับเรา
จัดโซนนิ่งและตั้งเป้าจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่
ในการวางผังเมืองของอเมริกานั้น เขาจะใช้ความสามารถในการรับมือกับการเติบโตของแต่ละพื้นที่เป็นเกณฑ์พื้นฐาน โดยกำหนดย่านการพัฒนาและมาตรการที่ใช้กำกับการพัฒนาใน Zoning Plan และตั้งเป้าจำนวนประชากรที่จะมีได้ในแต่ละย่าน
จากนั้น นักวิชาการจะคำนวณหาปริมาณความต้องการขั้นพื้นฐานในการรองรับความเป็นอยู่ของประชากร อาทิ น้ำประปา ไฟฟ้า พื้นที่อาคาร จำนวนหน่วยอาคาร ปริมาณน้ำเสีย ขยะมูลฝอย จำนวนนักเรียน จำนวนรถยนต์ พื้นที่และจำนวนสวนสาธารณะ โรงพยาบาล ร้านค้า ถนนที่ต้องรองรับและอื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง ปริมาณความต้องการเหล่านี้จะถูกแปรเป็นพื้นที่แสดงไว้ในผังเมืองและปรับให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ระบบสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะต่างๆ ต่อไป
โดยทุกที่ที่เป็นชุมชนจะต้องจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ การประกอบอาชีพ การเดินทาง รวมไปถึงการกำจัดของเสียและสิ่งปฏิกูลต่างๆ
ตัวอย่างของคุณภาพการให้บริการที่ได้รับการยอมรับในเชิงวิชาการ ได้แก่
• แรงดันของไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน-สำนักงานต้องคงที่อยู่ที่ 220 โวลต์
• แรงดันน้ำประปาในเส้นท่อเมนต้องไม่น้อยกว่า 1.0 บาร์ หรือส่งน้ำสูงได้ 10 เมตร หรือบริการได้ถึง
ห้องน้ำชั้นสองของอาคาร
• ค่าความสกปรก (BOD) ของน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียไม่เกิน 20 มิลลิกรัม/ ลิตร
• ขยะมูลฝอยต้องไม่ตกค้างอยู่ในพื้นที่สาธารณะ
• ระบบระบายน้ำต้องสามารถระบายน้ำได้หมดไม่มีเหลือท่วมขัง
• รถดับเพลิงต้องสามารถไปถึงจุดเกิดเหตุภายในเวลา 8 นาที
ข้อกำหนดและมาตราฐานเหล่านั้นใช้ได้จริงหรือไม่?
บริการสาธารณะที่เพียงพอของเป็นดั่งสัญญาประชาคมที่ผู้บริหารท้องถิ่นเมืองลุงแซมให้ไว้กับประชาชนในเมืองของตน ในเมืองต่างๆ จะมีกฎหมายที่กำหนดให้เมืองต่างๆ วางระบบเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเจริญเติบโตของชุมชน ซึ่งส่งผลต่อผังเมือง ดังนี้
• องค์กรส่วนท้องถิ่นสามารถกำหนดความหนาแน่นประชากรสูงสุดของแต่ละย่านได้เพื่อรักษามาตรฐานของระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะ
– กำหนดอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดินในพื้นที่ใหม่
– กำหนดขนาดเนื้อที่แปลงที่ดินต่ำสุด แบ่งแยกต่อไม่ได้
– กำหนดประเภทย่านการพัฒนา ตามขีดความสามารถที่ระบบสาธารณูปโภคจะรองรับได้
• มีการใช้ตัวเลขความหนาแน่นของประชากรที่กำหนดในการวางผังสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะลงในพื้นที่ ทั้งขนาด จำนวน การกระจายตัวของสวนสาธารณะ
– ห้ามเพิ่มจำนวนอาคาร ต่อเติมพื้นที่อาคาร เปลี่ยนแปลงประเภทและขนาดอาคาร ในพื้นที่เมืองที่มีอยู่แล้ว
• มีการใช้ตัวเลขความหนาแน่นประชากรที่กำหนดในการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงข่ายระบบถนน เป็นต้น
• ในการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองใดๆ จะต้องมีการคำนวณผลกระทบด้านระบบสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะที่จะต้องจัดเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับโครงการดังกล่าว และนำเสนอต่อองค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อขออนุมัติ ส่วนท้องถิ่นมีสิทธิที่จะชะลอโครงการนั้น หากตรวจสอบได้ว่าผลกระทบของโครงการนั้นมีมากเกินกำหนด
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเกณฑ์ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาใช้ในการวางแผนเมืองของเขา ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่าภาพผังเมืองที่เรียงตัวเป็นระเบียบนั้นสวยงามเพียงไหน ที่สำคัญเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้อย่างดี คงไม่สายเกินไปหากเราจะนำแนวทางดีๆ ไอเดียเจ๋งๆ นี้มาปรับใช้กับประเทศไทยของเราบ้าง
– ข้อมูลอ้างอิง บทความ “ปัจจัยที่ทำให้ผังเมืองไทยแตกต่างจากผังเมืองประเทศพัฒนาแล้ว” โดยคุณเฉลิม แก้วกังวาล (อดีตผู้อำนวยการสำนักผังเมือง)
– ภาพหลัก via www.nyc-architecture.com
– ภาพผังเมืองโดย III YesK III จากเว็บไซต์ thailandsusu.com
เรื่องข้างต้นเขียนโดย สุจิตรา วานิชานันท์ Junior Online Marketing Executive ประจำเว็บไซต์ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sujitra@ddpropety.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่