พวกเราหลายคนฝันเกี่ยวกับชีวิตหลังเกษียณช่วงเวลาที่เราจะปิดประตูสำนักงาน และมีเวลาว่างที่จะได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ก่อนที่คุณจะทำอะไรผิดพลาดไป อยากให้ลองอ่านแนวคิดด้านการลงทุนที่เรานำมาฝากกัน เพราะจะช่วยให้การเกษียนของคุณเป็นที่น่าพอใจขึ้นอีกเยอะเชียวล่ะ
คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม หรือพี่แพท เป็นนักเขียนและเซียนหุ้นของคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวคิดแบบใหม่ทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนเป็น เรื่องง่าย แม้กับคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นหรือไม่เคยมีพื้นฐานในการลงทุนมาก่อนก็สามารถเข้าใจได้ แน่นอนว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีเรื่องราว ซึ่งครั้งนี้พี่แพทก็เล่าประสบการณ์ความล้มเหลวที่ผ่านมา และนี่คือวิธีที่เขาสามามารถมองเห็นโลกที่แตกต่างออกไป รวมไปถึงแนวคิดในการลงทุนดังต่อไปนี้
อายุของคนยืนยาวขึ้น
อายุขัยของคนที่เพิ่มขึ้นจาก 60-65 ปี เป็น 70-85 ปี ซึ่งหากเกษียณที่อายุ 60 ปี เราจะกลายเป็นภาระให้กับคนรุ่นใหม่ และ เปรียบเที่ยบกับสมัยก่อน ตอนที่เราเกษียณเรามีเวลาอยู่อีกแค่ 5 ปีกับการใช้เงินที่เราหามาแล้วก็จบ แต่สมัยนี้การรักษาดีขึ้นและอายุคนเราก็นานขึ้น เพราะสาเหตุนี้ทำให้เราไม่สามารถดูแลตัวเองจากเงินที่หามาได้ในระยะเวลา 10 ซึ่งเราควรหาเงินที่สามารถเติบโตไปกับเราได้
สิ่งของที่ไม่สามารถมีมูลค่าเพิ่มได้
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้นมีคุณภาพสูงทำให้สามารถขายในราคาที่สูงขึ้นในวันนี้ได้ พ่อแม่เราก็สามารถเก็บสิ่งของนั้นให้มีมูลค่าสูงและต่อไปลูกๆหลานๆ สามารถเอาไปขายได้กำไรส่วนต่าง แต่ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพเท่าสมัยก่อน ทุกอย่างราคาถูกลงและไม่มีคุณภาพพอที่จะอยู่นานได้ถึง 60 ปี จึงไม่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต แล้วเราควรทำอย่างไรจึงจะมีเงินเป็นกองทุนเลี้ยงตัวเองได้ในตอนแก่?
โลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไร เราควรจะปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมก่อน สมัยนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร โดยอินเทอร์เน็ตที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น การจะซื้อคอนโด คนสมัยนี้จะอ่านรีวิวก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ เราใช้อินเทอร์เน็ตเป็นฐานของการตลาดและการสื่อสารมากที่สุด การลงทุนแบบดั้งเดิมที่เขียนไว้ในตำราที่เรายังเรียนจะไม่สามารถใช้ได้กับแนวทางการตลาดในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความคิดของคนเราก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
สถานะของ Active income กับ Passive income ที่เราควรรู้
รายได้ของมนุษย์เงินเดือนนั้นเป็น Active income หรือเงินก้อนที่เข้ามาอย่างไม่แน่นอนและเกิดความเสี่ยงมากเพราะถ้าเงินบาทเฟ้อเราก็จะขาดทุนและสมัยนี้กลยุทธ์การตลาดเก่งขึ้น ทำให้คนมีความต้องการที่จะใช้เงินเยอะ แต่ Passive income นั้น คือรายได้ที่ได้มาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเราทำงานและเติบโตขึ้นเงินของเราก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับเราด้วย เปรียบเสมือนกับการลงทุนในหุ้นนั่นเอง
จังหวะการซื้อหุ้นมีผลกระทบที่สุด
การลงทุนนั้นก็เป็นความเสี่ยง เพราะจากสถิติแล้ว 20% รวย 80% ขาดทุน ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ขาดทุน ก็เพราะคนที่จะลงทุนนั้นมักจะอยากรวยเร็ว และหุ้นที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อคือ
(1) หุ้นปั่น ซึ่งทุกคนมองข้ามทุกอย่างไป เป็นหุ้นที่ตกลงมาเร็ว อย่างเช่นมีกลุ่มนักลงทุนมาลงทุนเยอะๆและขายออกไปอย่างกระทันหัน
(2) หุ้นที่กำลังขึ้น อาจมีพื้นฐานที่ไม่ดีในระยะยาวและตอนจบนั้นอาจตกลงมาได้ถึง 70% ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าแฟชั่นที่เป็นเทรนด์แล้วก็หมดเทรนด์ไป
เพราะฉะนั้นจังหวะการซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มรายได้ คือซื้อตอนที่หุ้นกำลังตกและก็ “ทนรวย” หรือไม่ก็ลืมมันไป แต่ถ้าคุณรู้ว่ารายได้หลักของเศรษฐกิจไทยคือการท่องเที่ยว แล้วหุ้น AOT ตก คุณจะรีบซื้อไหม
ถ้าคุณมีความกล้าพอ คุณสามารถทำได้
เมื่อเราคิดจะลงทุนเราต้องเผชิญกับข้อจำกัดจำนวนมาก อย่าง ความกลัวว่าจะไม่มี connection การไม่มีความรู้ ความไม่กล้า และความคิดว่าคนรวยเป็นผู้ได้เปรียบซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด แต่ความจริงแล้วคนรวยนั้นไม่ได้ได้เปรียบเสมอไป นักลงทุนจึงควรมองผลตอบแทนระยะยาว และมีการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากความชอบและการเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เราจะทำ แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างจะตามมาเอง
เช่นเดียวกับการวางแผนสำหรับการเดินทาง เราต้องเริ่มวางแผนการลงทุนเพื่อวันหยุดยาวที่สุดในชีวิตของคุณ ซึ่งก็คือการเกษียณนั้นเอง
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย รวิกันยา ประภาสะวัต Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ravikanya@ddproperty.com