ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดีกรีการแข่งขันเข้มข้นขึ้นทุกๆ วัน ผู้เล่นที่มีความได้เปรียบก็คือผู้ที่สามารถงัดจุดขาย ไม้เด็ด เพื่อครองใจผู้บริโภคเพราะนั่นหมายถึงการได้ส่วนแบ่งทางการตลาดที่ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ก็ถือว่ามีมูลค่าที่สูงอยู่ แม้จะเป็นผู้เล่นรายกลางที่ปีหนึ่งไม่ได้เปิดตัวโครงการด้วยจำนวนที่หวือหวา แต่ผู้ประกอบการระดับมหาชนอย่าง “ไรมอนแลนด์” ก็ทดแทนตรงส่วนนี้ด้วยการสร้างความ “ว้าว” ให้กับทุกโครงการที่พัฒนา
“จำนวนอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราโฟกัส แต่ทุกโครงการที่เราประกาศว่าจะพัฒนา เราสามารถที่จะทำตามคำพูดนั้นด้วยการสร้างและส่งมอบทุกๆ โครงการได้ตามสัญญาที่ให้ไว้ใน “คุณภาพ” ที่เราเชื่อว่าผู้ที่ให้ความไว้วางใจซื้อโครงการของเราพึงพอใจ” คิพศาล เบ็ค ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสร้างแบรนด์ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2558 เพียง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านหรูพร้อมที่ดินทำเลเมืองแห่งแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ในชื่อ “มิวส์ เย็นอากาศ บาย ไรมอน แลนด์” (Mews Yen Akat by Raimon Land) ราคาเริ่มต้น 75 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี
และล่าสุด โครงการ “เดอะ ลอฟท์ อโศก” (The Lofts Asoke) คอนโดมิเนียมสไตล์อินดัสเตรียล ลอฟท์ใจกลางอโศก ที่เพิ่งเปิดพรีเซลครั้งแรกไปเมื่อ 6-8 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดขายรอบ VVIP ให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าของบริษัท
แม้ทั้งสองโครงการจะเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างกันในเชิงของรายละเอียด แต่ยังคงเป็นสินค้าที่พัฒนาออกมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงในทำเลเมือง ซึ่งถือเป็นตลาดที่ไรมอนแลนด์โฟกัสมาโดยตลอด นั่นทำให้ในช่วงที่ผ่านมา แม้สภาพเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัว รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่บริษัทแทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากปัจจัยลบในครั้งนี้
“ผมเชื่อว่ายังมีดีมานด์อยู่ในตลาด โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ที่เป็นตลาดระดับกลาง-บน เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าคนไทย หรือต่างชาติ แม้จะมีผู้ซื้อชาวต่างชาติบางกลุ่มหายไป แต่ก็มีกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทดแทน สถานการณ์จะแตกต่างกับเซ็กเมนต์ระดับล่างหรือตลาดแมส โดยผู้ประกอบการในตลาดหลังนี้มักจะพบปัญหา นอกจากยอดขายที่ลดลงเพราะคนไม่ซื้อแล้ว กลุ่มที่จองไปแล้วแต่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง”
ผู้บริหารหนุ่มอธิบายว่า ดีเวลลอปเปอร์บางเจ้าเลือกที่จะดึงดูดให้คนซื้อโครงการของตนด้วยการเรียกเก็บเงินดาวน์ในอัตราที่น้อยเพียง 5-10% และเมื่อถึงช่วงที่จะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่หรือถึงกำหนดโอนฯ ก็ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีเงินก้อนใหญ่ จะกู้จากสถาบันการเงินก็ไม่ผ่าน ทำให้ต้องปล่อยให้หลุดดาวน์ไป ในขณะที่ไรมอนแลนด์เก็บเงินดาวน์ในอัตราที่ค่อนข้างสูงคือ 25% สำหรับโครงการระดับไฮเอนด์ และ 35-40% สำหรับโครงการซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ซึ่งเท่ากับเป็นการสกรีนความสามารถของผู้ซื้อในระดับหนึ่ง และเท่าที่ผ่านมา บริษัทไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยอัตราที่ลูกค้าทิ้งดาวน์มีต่ำกว่า 1%
เมื่อคนส่วนใหญ่มองว่า นาทีนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีของตลาดระดับไฮเอนด์ ซึ่งเมื่อพิจารณาลงไปในเซ็กเมนต์ดังกล่าว จะพบว่ามีการแข่งขันอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“นอกจากผู้ประกอบการที่โฟกัสตลาดไฮเอนด์มาโดยตลอดอย่างไรมอนแลนด์แล้ว ยังมีผู้ประกอบการตลาดระดับกลางที่ขยายเซ็กเมนต์ขึ้นมาลองตลาดระดับบนอีกเช่นกันเพราะมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั่น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการเหล่านั้นเข้าใจถึงคำว่า “ไฮเอนด์” มากน้อยแค่ไหน เพราะความไฮเอนด์ไม่ได้วัดจากแค่ราคาขายต่อยูนิต หรือต่อตารางเมตรที่สูงลิ่ว แต่หมายรวมถึงทำเลที่ต้องดีจริง คุณภาพของสินค้า ดีไซน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพของผู้ที่ซื้อห้องชุดหรือบ้านจากโครงการนั้นๆ เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย”
คิพศาลยกตัวอย่างถึงแบรนด์ “เดอะลอฟท์” ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างชื่อให้กับไรมอนแลนด์ และเป็นแบรนด์ที่มีความชัดเจน
“ก่อนหน้า เดอะลอฟท์ อโศก เราได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์เดอะลอฟท์มาก่อน เริ่มจากเดอะลอฟท์ สาทร ต่อด้วยลอฟท์ เย็นอากาศ (พัฒนาภายใต้ทีมบริหารเก่า) และภายใต้การดำเนินงานของทีมบริหารชุดใหม่ก็มี โครงการเดอะลอฟท์ เอกมัย ซึ่งมาถึงจุดนี้ แบรนด์เดอะ ลอฟท์เริ่มมีความชัดเจนในสายตาผู้บริโภคมากขึ้นว่าเป็นแบรนด์ที่สะท้อนถึงดีไซน์แบบ Industrial style ที่มีความดิบ (Raw) เล็กๆ ดูเรียบแต่แฝงไปด้วยความชิค ความเก๋ เหมือนคอนโดฯ ที่พบได้ในนิวยอร์ก โซโห หรือไทรเบกาในอเมริกา”
“เมื่อความเป็น “เดอะลอฟท์” ได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อ เราจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อยอดการพัฒนาแบรนด์ดังกล่าวต่อ โดยเน้นจุดขายในเรื่องของ “Space” ที่มีความกว้าง โปร่ง โล่ง ความสูงจากพื้นถึงเพดาน อย่างที่เดอะลอฟท์ อโศก บริเวณโซนลอฟท์จะอยู่ที่ 3.2 เมตรซึ่งเราเชื่อว่าเกินกว่าความสูงมาตรฐานของตลาด ชั้น 31 ขึ้นไปเป็นยูนิตแบบดูเพล็กซ์ทั้งหมด ความสูงจากพื้นถึงเพดาน 5.7 เมตร ห้องรับแขก ห้องครัว และห้องทานข้าว เลย์เอาท์จะเปิดโล่ง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในลอฟท์จริงๆ ในส่วนของสิ่งอำนวยควาสะดวกภายในโครงการก็มีการพัฒนาในรูปแบบที่เป็นลอฟท์จริงๆ เน้นความสูงแบบ Double Height และ Triple Height อย่างบริเวณล็อบบี้เพดานสูง 18 เมตร มีส่วนที่เป็น Intelligent Working Space ที่เป็น Co-working Space ความสูงแบบ Double Height สรุปคือเราพยายามพัฒนาความเป็น “ลอฟท์” เข้าไปในองค์ประกอบต่างๆ ของโครงการ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การสร้างแบรนด์หรือคอนเซ็ปต์ขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นสิ่งที่ผู้ซื้อสามารถสัมผัสได้จริงๆ”
สำหรับโครงการเดอะ ลอฟท์ อโศก มูลค่าการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยความสูง 45 ชั้น จำนวน 211 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการขนาด 1.5 ไร่ (ประมาณ 2,663 ตารางเมตร) ติดกับถนนอโศก ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีเพชรบุรีและแอร์พอร์ต ลิงค์สถานีมักกะสัน 150 เมตร โดยยังคงคอนเซ็ปต์และความหรูหราตามแบบฉบับของแบรนด์ในสไตล์ Industrial Lofts ห้องชุดประกอบด้วย ห้องสไตล์ลอฟท์แบบชั้นเดียวจำนวน 184 ยูนิต ขนาด 35-87 ตารางเมตร แบบ 1 และ 2 ห้องนอน อยู่บริเวณชั้น 3-30 ขณะที่ห้องชุดแบบสกาย ลอฟท์ โซน บนชั้น 31-44 เป็นแบบดูเพล็กซ์ รวม 27 ยูนิต แบบ 1-2-3 ห้องนอน มีขนาด 76-145 ตารางเมตร ห้องชุดทั้งหมดมาพร้อมกับที่จอดรถเพียงพอสำหรับ 211 ยูนิต ด้วยระบบจอดรถแบบอัตโนมัติ โดยเคาะราคาในช่วงพรีเซลเริ่มต้นที่ 6.1 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ราว 208,000 บาทต่อตารางเมตร
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเปิด Sales Gallery พร้อมโชว์ห้องตัวอย่างของโครงการเดอะลอฟท์ อโศกในช่วงเดือนเมษายน 2559 ส่วนกำหนดเริ่มสร้างจะเป็นช่วงประมาณกลางปี 2559 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนที่จะนำโครงการดังกล่าวไปโร้ดโชว์ในต่างประเทศช่วงต้นปี 2559 โดยยังคงพิจารณาทำเล ซึ่งอาจจะเป็นที่ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ที่บริษัทมีฐานลูกค้าอยู่ เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ราว 50% ก่อนที่จะเปิดสำนักงานขายในช่วงเดือนเมษายนต่อไป
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่