เรามักเคยได้ยินคำว่า “พอเพียง” มาตั้งแต่จำความได้ บ้างรู้ความหมายอย่างลึกซึ้ง แต่ก็มีบางคนยังไม่เข้าใจ จนเมื่อได้มาพบเรื่องราวที่ถึงกับกลั้นความปลาบปลื้มไว้ไม่อยู่ เมื่อได้รับรู้ถึงแบบอย่างที่ดีของพ่อหลวงชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถึงความประหยัด ดำรงตนอยู่ในความพอเพียง มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และด้วยความรัก ห่วงใยต่อปวงชนชาวไทย จึงได้พระราชทานพระราชดำรัสหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ในงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อให้ทุกคนยึดมั่น ปฎิบัติใช้เรื่อยมา
ภาพ via chaoprayanews.com
ดั่งเนื้อหาใจความพระราชดำรัสหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ที่ว่า
“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนเป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ ต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นได้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชน โดยสอดคล้องด้วย จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆได้ ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวในที่สุด…”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพ่อพยามพร่ำสอนความพอเพียง และเน้นย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด จนครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517 ได้พระราชทานพระราชดำรัส ให้บุคคลที่เข้าเฝ้าเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย ไว้ว่า
“…คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่ พอมี พอกิน และขอให้ทุกคน มีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่ พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่ จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศ อื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้…”
ภาพ via thekingofsmilethailand.blogspot.com
ภาพ via thaigoodview.com
ใจความในพระราชดำรัสของพ่อหลวง ได้ถูกเข้าไปอยู่ในความคิดของผู้คนที่ได้ยินในขณะนั้น แต่คงยังไม่ซาบซิ้งตื้นตันใจ หากได้รับรู้ถึงเรื่องราวเมื่อสมัยพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนมจากสมเด็จย่า อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย และเมื่อได้เงินมา ได้นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม ครั้นเมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา บรรดาคนใกล้ชิด มักไม่เคยพบเห็นของใช้ส่วนพระองค์ เป็นสิ่งของราคาแพงหรือแบรนด์เนม แต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นที่รู้กันว่าการถวายของให้ในหลวง ไม่จำเป็นต้องมีค่าอะไรมากนัก ขอแค่เป็นสิ่งมาจากใจ พระองค์จะทรงใช้ทั้งนั้น โดยทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องยาสีพระทนต์ของพระองค์ ที่ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายกับแผ่นกระดาษ เพราะพระองค์ได้นำด้ามแปรงสีพระทนต์มารีดและกด เพื่อไม่ให้เนื้อสีพระทนต์เหลือเลย อีกทั้งทุกครั้งที่ออกพระราชกรณียกิจ จะพกดินสอที่มียางลบ แผนที่ที่ทรงทำขึ้นเอง ด้วยการแปะกาว และกล้องถ่ายรูป โดยดินสอ พระองค์จะเบิกปีละ 12 แท่ง และจะใช้จนกุด
ภาพ via thekingofsmilethailand.blogspot.com
อีกทั้งหลายคนต่างรู้ดีว่าพระตำหนักจิตลดารโหฐาน นั้นมีเนื่อที่กว่า 395 ไร่ แต่ถึงกระนั้นเนื้อที่ส่วนใหญ่ต่างเป็นพื้นที่โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ไม่ว่าจะเป็น นาข้าวทดลอง โรงนม ป่าไม้สาธิต และอื่นๆ อีกมากมาย โดยทั้งหมดเกิดขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ ขายนมวัว จนทำให้สวนจิตรลดาได้รับการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ โดยกินเนื้อที่เกินครึ่งของพระตำหนักจิตลดารโหฐาน ส่วนพระตำหนักที่พระองค์ประทับนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเพียงบ้านหลังเล็กที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น เฉกเช่นเดียวกับห้องทรงงานของพระองค์ ซึ่งมีขนาด 3×4 เมตร เท่านั้น โดยภายในห้อง จะประกอบไปด้วย วิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ และอื่นๆ อีกมากมาย
ภาพ via eyepronnapa.files.wordpress.com
จากพระราชกิจวัตรของพระองค์ ถือได้ว่า ทรงยึดมั่นในความพอเพียงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และนั้น ด้วยความเป็นห่วงใยต่อคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทย พระองค์จึงพยายามพร่ำสอนเรื่องความพออยู่ พอกิน เพื่อให้หลุดพ้นจากพิษเศรษฐกิจ และพบความสุขด้วยความพอเพียงตลอดไป ดังนั้นในฐานะเราเป็นคนไทย มีความจงรักภักดีต่อพ่อหลวงของเรา จึงควรสืบทอดพระราชปณิธานนี้ต่อไป
ภาพหลัก via tipu17502.blogspot.com
เรื่องข้างต้นเขียนโดย อารยา ศิริพยัคฆ์ Content Writer ประจำเว็บไซต์ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ araya@ddproperty.com