นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชสมบัติในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 จวบจนปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วที่พระองค์ทรงดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้มีความร่มเย็น เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาแก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะหนึ่งเรื่องที่พระองค์ให้ความสำคัญและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเสมอมาโดยตลอดก็คือเรื่องความทุกข์ยากของประชาชน ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จไปพื้นที่ทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อทรงงาน โดยแต่ละที่ที่พระองค์เสด็จไป พระองค์จะต้องประทับอยู่บนพื้นที่ต่างๆ เพื่อศึกษาพื้นที่และความทุกข์ร้อนของประชาชนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ทั่วประเทศที่พระองค์ทรงไปทะนุบำรุงประโยชน์จึงมีพระตำหนักของพระองค์ที่ไว้ใช้ทรงงานอยู่ด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่ายังมีสถานที่ทรงงาน และที่ประทับแปรพระราชฐานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามภาคต่างๆ อยู่ด้วย นอกเหนือจาก พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน, วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ประชาชนชาวไทยรู้จักดี ไม่รวมถึงเรือนรับรองและพระตำหนักต่างๆ ของพระบรมวงศานุวงศ์ ที่พระองค์เสด็จไปทรงงานเป็นครั้งคราว ซึ่งวันนี้ทาง DDproperty ได้รวบรวมพระตำหนักต่างๆ บางส่วนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไว้ใช้ทรงงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ให้เกิดความเจริญ
พระตำหนักภูพาน พระราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร

ภาพ via sanukvolunteer.com
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายสกลนคร-กาฬสินธุ์ หมายเลข ๒๑๓ บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๔ ห่างจากตัวเมืองสกลนครประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นผู้ทรงเลือกพื้นที่สร้างพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ทรงใช้แผนที่ทางอากาศและการเสด็จสำรวจเส้นทางบริเวณ ป่าเขา น้ำตก เป็นปัจจัยในการกำหนดเขตพื้นที่ก่อสร้างพระตำหนัก โดยโครงการเด่นที่พระองค์ ทรงงานก่อเกิดเป็นพระราชดำริในจังหวัดสกลนครก็คือ

ภาพ via 2.bp.blogspot.com
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๕ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ครอบคลุมทุกด้านที่มีผลต่อการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมอันเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ ได้แก่
งานชลประทาน สร้างแหล่งเก็บกักน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยตาดไฮใหญ่ อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก ฝายกักเก็บน้ำจากต้นน้ำลำธาร แนะนำการจัดระบบส่งน้ำและการใช้น้ำแก่เกษตรกร
งานศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรม ศึกษาทดลองวิธีการที่ได้ผลในการเพิ่มผลผลิตและรายได้ เช่น ศึกษาทดสอบเลือกสายพันธุ์ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืชไร่ พืชสวน เป็นต้นว่า เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า หม่อนไหม ยางพารา เห็ด การจัดระบบการทำฟาร์ม การศึกษาวิธีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่ทรุดโทรม ปลูกและบำรุงป่าธรรมชาติ ส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ส่งเสริมการปลูกหวายดง ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ตลอดจนการเพาะเลี้ยงครั่ง ควบคุมและป้องกันไฟป่า
งานส่งเสริมและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการประมง ศึกษาทดลองและพัฒนาการประมงน้ำจืด ส่งเสริมการเลี้ยงปลาบ่อ และในกระชังในอ่างเก็บน้ำ
งานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ปรับปรุงทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ศึกษาและทดลองการเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารสัตว์ เช่น ส่งเสริมการปลูกกระถินเป็นรั้วบ้าน ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วฮามาด้า การจัดการด้านการเลี้ยงสัตว์ และวิธีแก้ปัญหา เช่น การป้องกันและกำจัดโรคของสัตว์
งานศึกษาและพัฒนาปรับปรุงบำรุงดิน อนุรักษ์ดินและน้ำวิจัยทดสอบ ถ่ายทอดความรู้แก่ราษฎรเพื่อให้พัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์
งานส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน แนะนำฝึกอบรม ส่งเสริมความรู้ด้านอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การตีเหล็ก ผลิตมีด และเครื่องมือเกษตร ฝึกอบรมย้อมสีด้าย ทอผ้า เพื่อให้ราษฎรทำเครื่องใช้ในครัวเรือนเป็นการประหยัด หรือเป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้
งานส่งเสริมการเกษตร นำความรู้ด้านเกษตรที่ศึกษาทดลองได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว เผยแพร่แก่เกษตรกรให้นำไปปฏิบัติด้วยตนเอง
งานศึกษาและพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่าง จัดระเบียบชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตตามเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน จัดตั้งและพัฒนาองค์กรประชาชนในหมู่บ้านรอบศูนย์
งานฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้ด้านเกษตรกรรมแก่ราษฎรในหมู่บ้านรอบศูนย์ และราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต
พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส

ภาพ via wikalenda.com
พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ตั้งอยู่บริเวณเขาตันหยง (ตันหยง แปลว่า พิกุล) ตำบลกะลุวอเหนือ ตาม ทางหลวงสายนราธิวาส – ตากใบ ห่างจากตัวเมืองนราธิวาส ประมาณ ๘ กิโลเมตร เป็นที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ในช่วงเดือนสิงหาคมและตุลาคม ของทุกปี เป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ ให้สถาปนิกออกแบบให้มีรูปทรงประสานกลมกลืน กับอาคารบ้านเรือนแบบท้องถิ่นที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม และนับเป็นพระตำหนักแห่งเดียวในประเทศ ที่มีสุสานหรือที่ฝังศพชาวมุสลิมอยู่ภายในบริเวณ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตเอาไว้ให้ราษฎรมุสลิมเข้าออกเขตพระราชฐาน เพื่อประกอบศาสนกิจอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ตามความต้องการได้ทุกเมื่อ
การที่พระองค์ทรงเลือกจังหวัดนราธิวาสเป็นที่ตั้งพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เนื่องจากนราธิวาสค่อนข้างจะล้าหลังกว่าในบรรดาจังหวัดชายแดนใต้ ประกอบไปด้วยปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงจากขบวนการก่อการร้ายและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ได้ทรงงานเกี่ยวกับพระราชดำริมากมาย โดยมีโครงการเด่น คือ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประกอบไปด้วย
ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร
ประโยชน์ต่อประชาชน
๑.ศึกษาหาแนวทางการปลูกและฟื้นฟูสภาพป่าพรุที่เสื่อมโทรม
๒.เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ แหล่งเก็บเมล็ดพันธุ์ และ แหล่งค้นคว้าทางวิชาการป่าไม้
๓.ขยายผลงานการวิจัย ไปสาธิตขยายผล ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ที่เป็นสภาพป่าพรุ
๔.ให้มีหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของการวิจัย ค้นคว้า บริการ และถ่ายทอดความรู้ ด้านป่าพรุ สู่ประชาชนนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ และ ผู้สนใจ
๕.ดำเนินการศึกษาทดลองวิจัย การฟื้นฟูและบำรุงรักษาพื้นที่ป่าพรุ การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมใช่ประโยชน์จากป่าและพันธุ์ไม้ป่าต่างๆ
งานโรงสีข้าวพิกุลทอง
วัตถุประสงค์ของการดำเนินงานด้านโรงสี
๑.เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสที่จะใช้บริการโรงสีข้าวด้วยความเป็นธรรมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
๒.เพื่อเป็นศูนย์กลางพัฒนาและบริหารข้าวเปลือกและข้าวสารให้กับธนาคารข้าวต่าง ๆ ตลอดจนสถาบันเกษตรกรที่มีอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ได้มีศูนย์กลางการใช้บริการโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
๓.เพื่อเป็นสถานที่รับฝากข้าวเปลือกและบริการข้าวสาร
๔.เพื่อเป็นการศึกษาค้นคว้า หาแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องของขบวนการผลิตข้าวสาร ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวผลิตผล สีเป็นข้าวสาร จนถึงการรับข้าวสารไปบริโภคและจัดจำหน่าย
พระตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา

ภาพ via cdn.airportthai.co.th
พระตำหนักเขาน้อยตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาน้อยทางทิศใต้ ถนนสะเดา สร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๔ ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพระราชกรณียกิจที่ภาคใต้ในปีพ.ศ. ๒๕๐๒ พระตำหนักเขาน้อยปัจจุบันคือจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยพระราชดำริโครงการเด่นที่พระองค์ได้ทรงงานไว้คือ
๑.โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านปูยุด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๒.โครงการอ่างเก็บน้ำคลองพวน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๓.โครงการฝายจะโหนง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๔.โครงการฝายทดน้ำคลองอ่างแตก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๕.โครงการฝายทดน้ำบ้านใหม่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๖.โครงการจัดหาน้ำอุปโภค-บริโภคช่วยเหลือราษฎร หมู่ที่ 1 และ หมู่ที่ 2 ตำบลฉลุง
๗.โครงการก่อสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๔๓
๘.โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
พระตำหนักเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
พระตำหนักเขาค้อ ตั้งอยู่ที่เขาย่า ตำบลสะเดาะพง อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจัดสร้างโดยข้าราชการ ตำรวจ ทหาร หลังจากที่สงครามได้สงบลงประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ภายหลังการต่อสู้ด้วยอาวุธกับ ผกค. สิ้นสุดลงแล้ว จึงได้รวบรวมทุนทรัพย์ ริเริ่มการก่อสร้าง พระตำหนักเขาค้อ ขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นที่ทรงงาน และแปรพระราชฐานมาประทับแรม ในวโรกาสที่พระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาตรวจเยี่ยมโครงการตามพระราชดำริ ในพื้นที่เขาค้อ โดยประกอบไปด้วยโครงการเด่น คือ
โครงการพัฒนาที่ดินบริเวณลุ่มน้ำเข็ก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
วัตถุประสงค์
๑.เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๒.เพื่อความมั่นคง หลังจากเกิดเหตุการณ์สู้รบเพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์
๓.เพื่อให้ราษฎรและผู้หลงผิด กลับมาพัฒนาชาติไทย โดยจัดสรรที่ทำกินและพัฒนาพื้นที่การเกษตรรวมทั้งการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้ราษฎรสามารถดำรงชีพอยู่ได้
๔.เพื่อพัฒนาที่ดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และป้องกันการชะล้างของดิน
๕.เพื่อเป็นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรดิน และทรัพยากรน้ำ ให้คงอยู่และมี
ผลงานที่ผ่านมา
๑.กิจกรรม งานจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ
๒.กิจกรรม สาธิตการทำและการใช้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
๓.กิจกรรม สาธิตการใช้ปุ๋ยพืชสด
๔.กิจกรรม สถานที่ฝึกอบรมเยี่ยมชมและศึกษาดูงานโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณลุ่มน้ำเข็ก
พระตำหนักหนองประจักษ์ จังหวัดอุดรธานี
ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม บริเวณศาลเทพารักษ์ ถนนเพาะนิยม ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ต่อมาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพระราชกรณียกิจที่จังหวัดอุดรธานี ทางจังหวัดเห็นว่าพระองค์ไม่มีที่ประทับจึงได้ให้พระองค์เสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักหลังนี้ ซึ่งพระราชกรณียกิจเด่นที่พระองค์ทรงงานไว้ก็คือ
โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โครงการนี้ ทำให้ราษฎร 2 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านโคกล่าม หมู่ที่ ๓ และบ้านแสงอร่าม หมู่ที่ ๑๑ รวม ๒๔๘ ครัวเรือน ๑,๔๒๖ คน มีน้ำใช้สำหรับทำการเกษตรและอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอตลอดปี โดยสามารถส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่ทำการเกษตรครอบคลุมพื้นที่ ๑,๒๐๐ ไร่ ในช่วงฤดูฝน และ ๕๐๐ ไร่ ในช่วงฤดูแล้ง รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำเสริมสำหรับปลูกพืชผักสวนครัว พืชไร่ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรในพื้นที่สามารถทำการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องทำให้ราษฎรมีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวส่งผลให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
พระตำหนักสิริยาลัย พระนครศรีอยุธยา

ภาพ via assist-engineering.com
พระตำหนักสิริยาลัย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อใช้เป็นที่ประทับเวลาเสด็จมายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยตั้งอยู่บริเวณอำเภอเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยตั้งอยู่ตรงข้ามวัดไชยวัฒนารามโดยพระตำหนักหลังนี้สร้างจากทรัพย์สินส่วนพระองค์โดยสร้างเนื่องในอากาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถซึ่งทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบในปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ โดยโครงการเด่นที่พระองค์ได้ทรงงานไว้ ถือเป็นโครงการที่ประชาชนชาวไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากจังหวัดอยุธยาตั้งอยู่ในภาคกลาง อาทิ

ภาพ via siamrath.co.th
๑. โครงการศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
๒. โครงการจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎร ในเขต ต.คลองน้อย – ต.สองห้อง อ.บ้านแพรก
๓. โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาตามพระราชดำริ
๔. โครงการปรับปรุงและขุดลอกคลองเมือง อ.พระนครศรีอยุธยา
๕. โครงการจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎร ในเขต อ.บ้านแพรก
๖. โครงการก่อสร้างศิลปาชีพ ตำบลเกาะเกิด
๗. โครงการแปลงสาธิตแบบชีววิธีในพื้นที่ของมูลนิธิชัยพัฒนา
๘. โครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและบำบัดน้ำเสียในเขตพระราชวังบางปะอิน อ.บางปะอิน
๙. โครงการโครงการนำร่อง การบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่การเกษตรเป็นพื้นที่รับน้ำนอง เพื่อการบรรเทาอุทกภัยขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตามแนวพระราชดำริ “แก้มลิงพื้นที่บางบาล (๑)” อ.บางบาล
๑๐. โครงการก่อสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย
๑๑. โครงการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๑๒. โครงการพัฒนาเกษตรกรรมเบ็ดเสร็จตามพระราชดำริ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๑๓. โครงการ To Be Numer one
๑๔. โครงการฟันเทียมพระราชทาน
๑๕. โครงการโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว
๑๖. โครงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเด็กวัยเตาะแตะฯ ตามพระราชดำริ
๑๗. โครงการจัดทำแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานฯ
๑๘. โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๑๙. โครงการส่งเสริมกิจกรรมสหกรณ์ตามพระราชดำริ
๒๐. โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว
๒๑. โครงการศูนย์ 3 วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัว
๒๒. โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
การที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระตำหนักต่างๆ ทั่วประเทศ มิใช่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด แต่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนสักวินาทีเดียว พระตำหนักต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทับอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ก็เป็นเหมือนห้องทรงงานที่ทำให้พระองค์สามารถเข้าถึงปัญหาของพื้นที่เหล่านั้น และคิดวิเคราะห์หาคำตอบเพื่อมาพัฒนาชุมชนเหล่านั้น หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าขณะที่ ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ กำลังประชวรและประทับอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชก่อนที่จะสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระองค์ก็ยังโปรดเกล้าให้ผู้ติดตามจัดห้องทรงงาน และสังเกตการณ์บ้านเมืองมาโดยตลอด ดังเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน” ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้” และเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจว่าต่อมาอีกประมาณ 20 ปี ขณะทรงเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัดพระองค์ ทรงได้พบชายผู้ร้องตะโกนคนนั้น ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า ที่เขาร้องตะโกนออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกว้าเหว่และใจหาย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า “นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา” และบัดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์ไม่เคยละทิ้งประชาชนไปไหนจวบจนสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ก็ยังคงสร้างสรรค์สิ่งดีให้กับพสกนิกรชาวไทย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม “คนไทยจึงรักในหลวง”
อ้างอิง: https://th.wikipedia.org, http://www.ldd.go.th/ , https://web.ku.ac.th/
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com