เรามาถึงในยุคที่เศรษฐกิจบีบบังคับให้อัตราดอกเบี้ยเงินออมนั้นใกล้เข้าเลขศูนย์ขึ้นเต็มที เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยรวมถึงฝ่ายรัฐบาลต้องการให้คนนำเงินออกมาใช้ โดยเฉพาะผ่านการลงทุนรูปแบบต่างๆ เพราะเม็ดเงินจากการลงทุนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ (GDP) และหนึ่งในช่องทางการลงทุนที่ยอดนิยมในตลาดทุนหรือตลาดการลงทุนคือ ทองคำ หลายคนคงพอนึกออกว่าทองคำมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรในแง่ของเครื่องประดับหรือทองคำแท่งเก็บสะสมตามที่ซื้อขายกันในร้านทองคำ แต่หลายคนยังคงไม่เข้าใจว่าความหมายของทองคำใน ตลาดทุน นั้นคืออะไร ปัจจัยอะไรบ้างที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ บทความนี้มีคำตอบ
ทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดทุน
คำว่าสินทรัพย์ปลอดภัยในโลกตลาดทุนคือ เมื่อเกิดภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจะนำเงินมาเก็บไว้กับสินทรัพย์บางประเภทเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเป็นไปอย่างไร สินทรัพย์เหล่านี้เปรียบเสมือนจุดพักรถของพวกเขานั่นเอง เมื่อเกิดความผันผวนขึ้นบนท้องถนนนักลงทุนจึงต้องขอเลี้ยวรถเข้าจุดพักก่อน เพื่อประเมินต่อไปว่าควรจะนำรถขับออกมาสู่ถนนหลักอีกครั้งได้เมื่อไร
สินทรัพย์ปลอดภัยใหญ่ๆของโลกประกอบไปด้วย ค่าเงิน (ดอลลาร์, เยน ของ ญี่ปุ่น) และ ทองคำ ในส่วนของค่าเงินนั้นจะปรับตัวขึ้นหรือลงส่วนใหญ่จะผ่านนโยบายทางการเงินและเศรษฐกิจที่ออกโดยรัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ แต่ถ้าเป็นทองคำดูเหมือนว่าจะไม่มีนโยบายอะไรมาเกี่ยวข้อง ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันโดยอารมณ์ (sentiment) ล้วนๆ กรณีศึกษาเช่น:
ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐนั้นจะสิ้นสุดลง และผลโพลการเลือกตั้งกำลังบ่งชี้ว่า นาย โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น ปธน. คนที่ 45 ของสหรัฐ ณ ตอนนั้นนักลงทุนทั่วโลกต่างกลัว ทรัมป์ เป็นอย่างมาก จากนโยบายที่เขานั้นได้ลั่นไว้ในช่วงการปราศรัยหาเสียง ซึ่งนโยบายต่างๆจะเป็นการกระทบไปยังภาคเศรษฐกิจของโลกในแง่มุมต่างๆ จากความไม่แน่นอนนี้ นักลงทุนจึงเริ่มชักเงินออกจากตลาดหุ้น หากใครติดตามอย่างใกล้ชิด ณ วันเลือกตั้ง (8 พ.ย.) จะพบว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีดาวน์โจนส์ถูกเทขายเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับดัชนี NIKKEI 225 ของญี่ปุ่นที่ติดลบกว่าพันจุดภายในวันเดียว และแน่นอนเงินออกจากตลาดหุ้นในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไหลไปทองคำ

ช่วงก่อนวันเลือกตั้งประมาณ 1 สัปดาห์จะสังเกตเห็นได้ว่านักลงทุนย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ส่งผลให้ราคานั้นไปแตะเกือบที่ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ พอหมดช่วงพักของเงิน นักลงทุนต่างเทขายทองคำเพื่อย้ายไปสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่า (ภาพจาก www.bloomberg.com/markets/commodities)
จะซื้อจะขายควรดูจากอะไร?
ราคาของสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งค่าเงินและทองคำมักจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นหรือลงไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่านักลงทุนโยกย้ายเงินจากทองคำสู่ตลาดการเงิน สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยหนึ่งสู่อีกประเภทหนึ่งมีดังนี้:
-นโยบายทางการเงิน
เนื่องจากดอลลาร์นั้นเป็นสกลุเงินของสหรัฐจึงขอนำสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นมายกตัวอย่าง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ดอลลาร์แข็งขึ้นและทองคำปรับตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อผลการเลือกตั้งของสหรัฐเป็นอันสิ้นสุดลง ปธน. ทรัมป์ ได้เน้นนโยบายไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่านการลดภาษีของบริษัทลงและอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) เมื่อเศรษฐกิจถูกกระตุ้น บริษัทต่างๆมีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่มมากขึ้นจากการเสียภาษีที่น้อยลง ส่งผลไปยังรายได้รับรู้ในอนาคตที่มากขึ้น รายได้ที่มากขึ้นนักลงทุนจะตีความว่าบริษัทนั้นโตขึ้น เมื่อบริษัทโตขึ้นหุ้นของบริษัทก็จะโตขึ้นตามนั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อมีเงินไหลสู่ระบบเศรษฐกิจมากเกินไปจะก่อให้เกิดอัตราเงินเฟ้อ (inflation) ส่งผลไปยังราคาข้าวของที่จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากรายได้ประจำของเราไม่ได้ปรับตัวขึ้น สภาพการณ์นี้คงไม่ดีต่อเราเป็นแน่
เพื่อเป็นการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจลง ทางธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve Department) จึงต้องก้าวเข้ามาทำหน้าที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลาง ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น บริษัทต่างๆจึงมีต้นทุนการยืมเงินมาดำเนินกิจการที่มากขึ้น การเจริญเติบโตของบริษัทจึงช้าลง เมื่อบริษัทโดนหยุดความร้อนแรงลง หุ้นก็จะโตช้าลงตาม อย่างไรก็ตามมีสินทรัพย์หนึ่งที่จะมีอำนาจขึ้นมาทันทีคือ ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยกลางถูกปรับขึ้น ค่าเงินเหรียญจะแข็งขึ้นตามเช่นกัน จากสภาพการณ์นี้ ทองคำจึงถูกเทขายเป็นอย่างมาก (ราคาตก) เพราะว่านักลงทุนโยกย้ายเงินไปไว้ที่เงินเหรียญนั่นเอง หลายคนเลือกที่จะทยอยเก็บทองคำเพิ่มจากราคาที่ปรับตัวลงเช่นนี้ (ซื้อของราคาถูกลง)

จากนโยบายทางการเงินต่างๆที่ออกมา ส่งผลให้ดอลลาร์มีอำนาจมากขึ้น นำไปสู่ค่าเงินเหรียญที่แข็งขึ้นเป็นอย่างมาก สวนทางกับค่าเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน จากกราฟจะเห็นได้ว่าช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งนั้น ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเกือบ 1 บาทภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น (ภาพ via: www.bloomberg.com/markets/currencies)
-วิกฤติทางเศรษฐกิจ
ทองคำจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในกรณีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือเมื่อเกิดภาวะความผันผวนสูงทั้งในฝั่งของตลาดเงินและตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจแตก ณ ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (พ.ศ. 2551 ในสหรัฐอเมริกา) ตลาดการเงินและตลาดทุนต่างผันผวนเป็นอย่างมาก นักลงทุนหลายรายจึงเลือกนำเงินมาพักไว้ที่ทองคำเพื่อรอให้เศรษฐกิจค่อยๆกลับมาฟื้นตัว โดยปี พ.ศ. 2551 – 2555 ที่ผ่านมาสหรัฐอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตามราคาทองทำในช่วงนี้ปรับตัวขึ้นสูงถึง 191% (864 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ มาแตะที่ 1,664 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ = ประมาณ 2.0404 บาท)
สรุป
หลายคนอาจจะมองว่ายังไงก็ตามแต่ทองคำก็มีแต่ขึ้นไม่มีลงอยู่ดี ซึ่งหลายคนคิดผิดเป็นอย่างมากสำหรับตลาดทุนในปัจจุบันที่สามารถโยกย้ายเงินจากสินทรัพย์หนึ่งสู่สินทรัพย์หนึ่งได้ด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว และตัวเลือกการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นอีกมากมายอันส่งผลให้ทองคำไม่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากดั่งในสมัยก่อน แต่สิ่งสำคัญคือจังหวะในการเลือกซื้อเก็บสะสมในช่วงราคาที่ถูกและปล่อยขายในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นสูงแตะในระดับราคาที่เราตั้งไว้ ทุกๆการลงทุน เมื่อมีขึ้นย่อมก็ต้องมีลง ดังนั้นควรศึกษาถึงความเสี่ยงและข้อมูลของสิ่งที่คุณจะเข้าไปลงทุนให้ดี มิเช่นนั้นอาจจะสูญเสียเงินด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการได้
เรื่องข้างต้นเขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ seksun@ddproperty.com
เพิ่มเติมความรู้ คู่มือซื้อ ขาย เช่าบ้าน-คอนโดฯ พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ และสามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน