อยากลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ แต่เงินน้อย จะทำได้อย่างไร? (ฉบับเข้าใจง่าย)

chaiyasit bunnag12 ธ.ค. 2559

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกต้องการจำนวนเม็ดเงินเพื่อการอัดฉีดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เคยเป็นสวรรค์ของนักออมไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไป ส่งผลให้ผู้ที่มีเงินออมต้องทำอะไรสักอย่างกับเงินเก็บของตน และหนึ่งในประเภทการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงที่สุดและมีความเสี่ยงเป็นอันดับต้นๆของสินทรัพย์การลงทุนคือ หุ้น

อย่างไรก็ตามหลายคนอยากที่จะลงทุนในกลุ่มหุ้นบริษัทใหญ่แนวหน้าของไทย (big market capitalization companies) เนื่องจากความสามารถในการบริหารและความสม่ำเสมอในการทำกำไร และสภาพคล่องของการเงินที่ดีของบริษัท (cash flow) ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาจึงน้อยลง ส่งผลไปยังราคาของหุ้นที่ค่อยๆปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ

หุ้น big market cap คืออะไร? มีอะไรบ้าง?

หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่คือบริษัทที่ถูกจัดตั้งและเข้ามาอยู่ในกระดานซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand: SET) มาเป็นเวลานาน โดยส่วนใหญ่จะมีมูลค่าทางตลาดตั้งแต่หลักแสนล้านบาทขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์คือ SCC ที่มีมูลค่าทางตลาดประมาณ 576,000 ล้านบาท, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT มูลค่าทางตลาดประมาณ 560,000 ล้านบาท และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มูลค่าทางตลาดประมาณ 1,050,000 ล้านบาท โดยการคำนวณมูลค่าทางตลาดเกิดจากการนำราคาหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นปัจจุบันคูณด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกโดยบริษัท ยกตัวอย่างเช่น ปตท. มีจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนกับ SET อยู่ที่ 2,856,299,625 หุ้น ราคาซื้อขายอยู่ที่ 369 บาท (ราคาอิง ณ วันที่ 9 ธ.ค. 2559) จะได้ 2,856,299,625 x 369 = 1,053,000 ล้านบาทนั่นเอง

PTT 1

จำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัทกับ SET (ข้อมูลจาก www.set.or.th)

PTT 2

คูณด้วยราคาหุ้นปัจจุบัน (ข้อมูลจาก www.set.or.th)

ซื้อไม่ไหวมีตัวเลือกอื่นไหม?

เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีขนาดใหญ่ส่งผลให้ราคาของหุ้นนั้นค่อนข้างแพงลิ่ว AOT: 394 บาท PTT: 369 บาท และ SCC: 480 บาท (ราคาอ้างอิง ณ วันที่ 9 ธ.ค. 2559) โดยจะขอเรียกหุ้นที่มีราคาดังกล่าวว่า หุ้นตัวแม่ เพื่อเป็นการเข้าใจง่ายในบริบทต่อๆไป บริษัทดูแลด้านหลักทรัพย์รายต่างๆหรือโบรคเกอร์จึงได้ออกหุ้นที่อิงกับหุ้นตัวแม่เหล่านี้โดยมีราคาเสนอขายที่ถูกกว่ามากซึ่งเราจะขอเรียกว่า หุ้นตัวลูก (ทางตลาดหลักทรัพย์เรียกการลงทุนประเภทนี้ว่า Derivative Warrants หรือ DW) ยกตัวอย่างเช่น:

AOT มีหุ้นตัวลูกคือ AOT01C1701A และ AOT01P1704A (สามารถพิมพ์เพื่อค้นหาได้ในส่วน Quote ของหน้าจอแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมเทรดหุ้น Streaming) รายละเอียดของหุ้นตัวลูกหรือ AOT01C1701A ไล่ตามตัวอักษรมีดังนี้:

AOT คือชื่อหลักทรัพย์ที่ถูกอ้างอิง ลำดับต่อมาคือตัวเลข 01 ซึ่งเป็นรหัสของโบรคเกอร์แต่ละธนาคารที่เป็นผู้ออกหลักทรัพย์ตัวนั้นๆ (01 เป็นของบัวหลวงหรือธนาคารกรุงเทพ) ตัวอักษรถัดมาคือสิ่งที่ ต้องพึงระวังให้ดี โดยจะมีสองตัวคือ C (Call) และ P (Put) หากเป็นตัวแรกราคาของ AOT01C1701A จะปรับขึ้นก็ต่อเมื่อหุ้นตัวแม่ (AOT) ที่ถูกอ้างอิงนั้นปรับตัวขึ้น ตรงกันข้ามกับราคาของ AOT01P1704A ที่จะขยับตัวขึ้นเมื่อหุ้นตัวแม่มีราคาปรับตัวลดลงมานั่นเอง พูดง่ายๆคือจะซื้อ C ก็ต่อเมื่อคาดว่าราคาหุ้นตัวแม่จะขึ้น จะซื้อ P ก็ต่อเมื่อคาดว่าราคาของหุ้นตัวแม่จะปรับตัวลงนั่นเอง สำหรับตัวเลขในลำดับต่อมา 1701 หมายถึงเดือนและปีที่หุ้นตัวลูกนั้นจะทำการซื้อขายวันสุดท้ายนั่นเอง กรณี AOT01C1701A จะสามารถซื้อขายวันสุดท้ายได้ในช่วงเดือน มกราคม 2560 ส่วนตัวอักษร A ในลำดับสุดท้ายเป็นเพียงตัวอักษรกำกับชื่อหลักทรัพย์เท่านั้นเองไม่ได้มีความหมายอะไร

เปรียบเทียบหุ้นตัวแม่ (AOT) กับตัวลูกกรณี Call (AOT01C1701A)

AOT-vert

จะเห็นได้ว่า ณ ช่วงเวลาเดียวกัน (ตุลาคม – ธันวาคม) AOT และ AOT01C1701A จะมีทิศทางของกราฟไปในทิศทางเดียวกัน (สีฟ้าคือปรับตัวขึ้นสีแดงคือปรับตัวลดลง) (ภาพ via: http://www.investorz.com/)

เปรียบเทียบหุ้นตัวแม่ (AOT) กับตัวลูกกรณี Put (AOT01P1701A)

AOT-vert2

ตรงกันข้าม ณ ช่วงเวลาเดียวกัน (ตุลาคม – ธันวาคม) AOT และ AOT01P1701A จะมีทิศทางของกราฟเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกัน (สีฟ้าคือปรับตัวขึ้นสีแดงคือปรับตัวลดลง) ((ภาพ via: http://www.investorz.com/)

จุดสังเกตที่สำคัญคือ ราคาหุ้นตัวลูกจะมีราคา ไม่ถึงหนึ่งบาท แต่ถ้าขยับขึ้นเมื่อไรจะสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดีทีเดียว ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นหาก AOT01C1701A มีราคาอยู่ที่ 1 บาทและ ทาง AOT มีการประกาศรายได้ที่โตขึ้นเป็นอย่างมากรวมถึงแผนการต่างๆที่จะขยายเฟสของสนามบินที่ต่างๆออกไป ซึ่งการขยายเฟสจะหมายถึงรายได้ที่จะเข้ามามากขึ้นในอนาคต จากปัจจัยดังกล่าวนี้ส่งผลให้หุ้น AOT ขยับตัวขึ้นไปเป็นอย่างมาก ส่งผลมาถึงตัวลูก AOT01C1701A ที่ปรับตัวขึ้นไปที่ 1.20 บาท หรือ 20% หากคุณเลือกซื้อหุ้นตัวลูกนี้ไว้เมื่อราคา 1 บาท ด้วยจำนวนเงิน 1 หมื่นบาท คุณจะได้กำไร 20% หรือ 2,000 บาท นั่นเอง หากตัวเลขเงินต้นสูง (margin) ก็จะส่งผลไปถึงกำไรที่มากขึ้นนั่นเอง ในทางตรงกันข้ามหากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีภายในปประเทศส่งผลไปยังความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว จากเหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่ารายได้ของ AOT ประจำไตรมาสนั้นอาจจะปรับตัวลดลง ส่งผลไปยังราคาหุ้นตัวแม่ที่ปรับตัวลง หากคุณเลือกซื้อหุ้นตัวลูกประเภท Put หรือ AOT01P1701A คุณก็จะเปลี่ยนเป็นการทำกำไรในช่วงตลาดการท่องเที่ยวอยู่ในขาลงนั่นเอง

ข้อแนะนำ และ ข้อควรระวัง (เป็นอย่างมาก)

การลงทุนประเภท DW นี้ คือการลงทุนระยะสั้น สิ่งที่คุณจะต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกคือ สถานการณ์ทางธุรกิจ ของบริษัทใหญ่นั้นๆว่าเป็นอย่างไร สมมติว่ากระทรวงการท่องเที่ยวมีการคาดการณ์ถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในช่วงท้ายปีเพิ่มขึ้น 10% เป็นไปได้ว่าจะเกิดการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และอาจเป็นไปได้ว่า AOT ซึ่งมีท่าอากาศยานรองรับการใช้จ่ายขั้นต้นของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ที่สนามบิน จะมีรายได้เพิ่มขึ้น และรับรู้ได้ในการประกาศงบการเงินครั้งต่อไป (สามารถดูได้ที่ www.set.or.th) ถ้าเป็นเช่นนี้สถานการณ์การลงทุนที่คุณจะเลือกควรเป็น Call

แต่ไม่ว่าคุณจะเลือก Call หรือ Put สิ่งที่ต้องระวังคือ สภาพคล่อง ของหลักทรัพย์ตัวนั้น คำว่าสภาพคล่องในที่นี้คือการที่มีคนตั้งขายและตั้งรับซื้อหุ้นตัวนี้อยู่ตลอดเวลาและเป็นจำนวนมาก เมื่อคุณต้องการขายหรือซื้อหุ้นตัวลูกตัวนี้สามารถทำได้ตลอดเวลาการซื้อขาย

liquidity 1

liquidity 2

จะเห็นความแตกต่างทางด้านสภาพคล่องระหว่าง AOT01P1701A กับ AOT13C1703A เป็นอย่างมาก (รูปจากหน้าจอโปรแกรม Streaming (Desktop Version))

จากรูปด้านบนคือการเปรียบเทียบสภาพคล่อง (Bid คือฝั่งเสนอซื้อ Offer คือฝั่งเสนอขาย) ระหว่าง AOT01C1701A และ AOT103C1703A จะเห็นได้ว่าหุ้นตัวลูกตัวหลังมีสภาพคล่องน้อยกว่ามาก ดังนั้นหากคุณมีการถือหุ้นตัวลูก AOT103C1703A มากกว่า 26,000 หน่วย (ราคารับซื้อที่ 0.80 บาท จำนวน 16,000 หน่วย และ 0.78 บาท จำนวน 10,000 หน่วย) คุณจะไม่สามารถปล่อยขายได้ทันที

อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ วันซื้อขายวันสุดท้ายและวันหมดอายุของหลักทรัพย์ ตัวนั้น
วันซื้อขายวันสุดท้าย (Last Trade) คือวันที่คุณจะสามารถซื้อขายบนกระดานซื้อขาย (Bid & Offer) ได้
วันหมดอายุสัญญา (Maturity Date) คือวันที่ DW หรือหุ้นตัวลูกที่คุณถืออยู่นั้นจะแปลงสภาพไปเป็นเงินสดเข้าบัญชีออมทรัพย์ของคุณที่ผูกติดกับบัญชีหุ้น โดยหากราคาอ้างอิง (ราคาปัจจุบัน) นั้นมีราคามากกว่า ราคาใช้สิทธิ คุณจะได้กำไร แต่หากราคาอ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิคุณจะขาดทุน ณ วันหมดอายุสัญญา กรณีขาดทุนเงินจะถูกหักจากจำนวนเงินในพอร์ตการลงทุนของคุณ (เงื่อนไขการรับเงินและหักเงินบางโบรคเกอร์อาจจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรสอบถามโบรคเกอร์ของคุณถึงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลด้านนี้)

Maturity

ตำแหน่งที่ระบุ Last Trade และ Maturity Date ของ AOT01C1701A บนหน้าจอโปรแกรม Streaming (Desktop Version)

การคำนวณการใช้สิทธิกรณีถือ DW จนถึงวันหมดอายุสัญญา

Changed

รูปตารางแสดงการใช้สิทธิจาก https://www.mqwarrants.co.th/

กรณีเป็นประเภท Call จากรูปสูตรการคิดคือ (ราคาอ้างอิง – ราคาใช้สิทธิ) x อัตราการใช้สิทธิต่อหน่วย ซึ่งหากราคาอ้างอิงปัจจุบันของ AOT ณ วันสุดท้ายของสัญญา AOT01C1701A คือ 400 บาท ราคาใช้สิทธิของ DW ตัวนี้คือ 373 บาท อัตราการใช้สิทธิต่อหน่วย (Ratio) อยู่ที่ 0.007 ทำให้ได้ตัวเลขการคิดดังนี้:

(400 – 373) x 0.007 = 0.189 ดังนั้นหากคุณถือหุ้น AOT01C1701A ไว้ 10,000 หน่วย วันหมดอายุสัญญาจะมีเงินเข้าบัญชีคุณ 0.189 x 10,000 = 1,890 บาท นั่นเอง

ในทางตรงกันข้ามสูตรการคำนวณจะเปลี่ยนไปหากคุณเลือกถือเป็นหลักทรัพย์ประเภท Put ดังนี้:
(ราคาใช้สิทธิ – ราคาอ้างอิง) x อัตราการใช้สิทธิต่อหน่วย

Changed 2

รูปตารางแสดงการใช้สิทธิจาก https://www.mqwarrants.co.th/

จากตาราง Put ข้างต้น สมมติว่าราคาอ้างอิงสุดท้าย ณ วันหมดสัญญาของ AOT01P1701A คือ 400 บาท ราคาใช้สิทธิคือ 452 บาท คุณจะได้กำไรจากภาวะหุ้นของ AOT ที่ปรับตัวลงตามตัวเลขดังนี้:

(452 – 400) x 0.010 = 0.52 ดังนั้นหากคุณถือหุ้นตัวลูก AOT01P1701A อยู่ 10,000 หน่วยคุณจะมีกำไรเข้ากระเป๋าคุณ 5,200 บาท นั่นเอง

สรุป

การลงทุนประเภท DW นั้นถูกจัดเป็นการลงทุนระยะสั้น และถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูง และผู้ที่ลงทุนประเภทนี้ควรจะศึกษาแนวโน้มระยะสั้นของบริษัทที่ตนจะทำการลงทุนว่าจะเป็นเช่นไร หากอยู่ในภาวะขาขึ้นจะเป็นการซื้อ DW ประเภท Call หากแนวโน้มของบริษัทอยู่ในภาวะขาลงจะเป็นการซื้อ DW ประเภท Put ไม่ควรเลือกสัญญา DW ที่มีสภาพคล่องน้อยเพราะจะส่งผลให้คุณไม่สามารถปล่อยขายสู่ตลาดได้ทันทีเมื่อต้องการ และที่สำคัญควรศึกษาให้ดีว่า DW ที่ตัวเองถือนั้นสามารถซื้อขายได้ถึงเมื่อไร และอายุของสัญญาจะหมดเมื่อไร และเนื่องจากสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงและมาพร้อมกับผลตอบแทนที่สูง จึงไม่ควรนำทรัพย์สินทั้งหมดเข้าลงทุนเฉพาะกับ DW แต่ให้เลือกหยิบเงินจำนวน 10 – 20% ของเงินลงทุนทั้งหมดของคุณเข้าลงทุนกับสินทรัพย์ประเภทนี้ ยกตัวอย่างเช่นหากคุณมีเงินสะสมอยู่ในพอร์ตของคุณอยู่ 100,000 บาท ควรหยิบนำมาเพื่อเล่น DW ประมาณ 10,000 – 20,000 บาท เท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงไปในตัว

จะเห็นได้ว่าถึงแม้ตลาดหุ้นโดยรวมจะอยู่ในภาวะขาลงแต่คุณสามารถทำกำไรผ่านการลงทุน DW โดยซื้อหลักทรัพย์ประเภท Put ได้ ซึ่งนักลงทุนเรียกการลงทุนประเภทนี้ว่า Hedging Strategy นั่นเอง

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนประเภท DW ผ่านเว็บไซต์ต่างๆดังนี้:

http://www.set.or.th/th/products/dw/dw_p1.html
https://www.mqwarrants.co.th/eduhtml
https://www.set.or.th/th/products/dw/files/20130509-Presentation-PHATRA.pdf

เรื่องข้างต้นเขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค นักเขียนประจำ DDproperty หากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

โปรแกรมออมทอง พันเดียวก็เริ่มลงทุนได้

ทองคำ คือสินทรัพย์ประเภทหนึ่งในโลกของการลงทุน เราเรียกสินทรัพย์ประเภ

อ่านต่อ5 ธ.ค. 2559