พลัสฯแนะเจ้าของตึกเก่าในกทม.ใส่ใจระบบป้องกันไฟไหม้เป็นพิเศษ

พลัสฯ เผยตึกสูงในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่อายุราว 20 ปี แนะเจ้าของตึกให้ความใส่ใจในระบบป้องกันไฟไหม้เป็นพิเศษ

นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าจากการสำรวจอาคารสูงในเขตกรุงเทพฯ พบว่าเมืองหลวงของไทยมีตึกสูงเกิน 7 ชั้น มากกว่า 3,000 อาคาร ในจำนวนนี้มีอาคารใหม่อายุต่ำกว่า 10 ปี คิดเป็นสัดส่วนเพียง 33.33% เท่านั้น ในขณะที่อาคารส่วนใหญ่มีอายุราว 20 ปี ซึ่งหากอาคารใดสร้างก่อน กฎหมายควบคุมอาคารสูง 2535 บังคับใช้ก็จะมีอุปกรณ์ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยน้อยกว่าอาคารที่ก่อสร้างหลังจากกฎหมายดังกล่าว

สำหรับการเกิดอัคคีภัยนั้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความระมัดระวัง เช่น การจุดธูปเทียนในอาคาร การใช้แก๊สขณะปรุงอาหาร และไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนการลอบวางเพลิงพบได้ไม่บ่อยนัก

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมทรัพยากรธรณี ระบุว่าช่วงระหว่างปี 2531-2552 ประเทศไทยเกิดอัคคีภัยราว 47,000 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 3,700 คน เสียชีวิตกว่า 1,600 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 28,000 ล้านบาท

“ปัจจุบัน อาคารขนาดใหญ่มีกฎหมายบังคับให้ออกแบบและวางระบบป้องกัน แจ้งเตือนดับเพลิงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เหตุที่บางอาคารเกิดเหตุและไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ทัน เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบหรือดูแลระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm) และระบบระงับเหตุเพลิงไหม้ (Sprinkler) อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความบกพร่องไม่ว่าจะเป็นระบบการแจ้งเตือนเหตุ ระบบสัญญาณเตือนภัยและท่อน้ำดับเพลิง เป็นต้น ผู้ดูแลระบบเป็นอีกส่วนที่สำคัญ ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบและดูแลบำรุงรักษาให้ระบบมีความพร้อมต่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการมีแผนการอพยพหนีไฟและการฝึกซ้อมเป็นประจำ” นายชาญกล่าว

“พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2543 กำหนดให้อาคารชุดพักอาศัย หรืออาคารที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป จะต้องมีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง อุปกรณ์และระบบบริหารจัดการความปลอดภัยของอาคารเป็นประจำปีละ 1 ครั้ง และตรวจสอบใหญ่ทุกๆ 5 ปี โดยต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหากผู้ดูแลอาคารปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะส่งผลให้ผู้พักอาศัยจะมีความมั่นใจในการพักอาศัยมากขึ้น”