พลัสฯ ชี้ต่างชาติหันมาให้ความสนใจลงทุนคอนโดฯ ตากอากาศในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ของไทยมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทน 2 ต่อ ทั้งกำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว และมีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าจากการที่ในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยหลายอย่าง อาทิ การที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะเริ่มลดการคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี รวมถึงผลตอบแทนจาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ก็ปรับลดลง ส่งผลเหล่านักลงทุนเริ่มมองหาตัวเลือกการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว โดยหนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
โดยในปี 2559 คอนโดมิเนียมถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในด้านการลงทุนมาก เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งการลงทุนเพื่อได้รับผลกำไรจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังมีกำไรจากการปล่อยให้เช่า ซึ่งปัจจุบันถือว่าให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง
แม้สินค้าประเภทคอนโดมิเนียมของไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ แต่จากการสำรวจของพลัสฯ พบว่า คอนโดมิเนียมในทำเลเมืองตากอากาศเริ่มได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้น เนื่องจากราคาห้องยังไม่สูงเท่าโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ อีกทั้งยังให้ผลตอบแทนด้านการปล่อยเช่าเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 10% หากสามารถหาผู้เช่าได้ตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับการเติบโตของตัวเลขชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
จากสถิตินักท่องเที่ยวในปี 2558 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยสูงถึง 29.88 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20.44% เมื่อเทียบกับปี 2557 อยู่ที่ 24.8 ล้านคน โดยเมืองตากอากาศที่นักท่องเที่ยวนิยม ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่
จากการสำรวจของบริษัทพบว่า อัตราค่าเช่าคอนโดมิเนียมในพื้นที่เมืองตากอากาศยอดนิยมข้างต้น โดยการคำนวณราคาค่าเช่าต่อเดือนจากห้องแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร พบว่าค่าเช่าในพื้นที่หัวหิน-ชะอำอยู่ที่ 680-800 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 20,400-24,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทน (Gross Rental Yield) อยู่ในระดับ 10-12 % ต่อปี หากมีผู้เช่าเต็มตลอดปี
คอนโดมิเนียมให้เช่าในพัทยา ราคาอยู่ที่ 650-830 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 19,500-24,900 บาทต่อเดือน ในขณะที่คอนโดมิเนียมในภูเก็ตราคาค่าเช่าอยู่ที่ 630-800 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 18,900-24,000 บาทต่อเดือน และคอนโดมิเนียมเขาใหญ่ ราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 460-500 บาทต่อตารางเมตร ค่าเช่าเฉลี่ย 13,800-15,000 บาท ต่อเดือน
ทั้งนี้ ในปี 2558 ที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวตากอากาศ เช่น พัทยา มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเสนอขายในตลาดสูงถึง 38,015 ยูนิต จาก 83 โครงการ ดีมานด์มีการดูดซับแล้ว 82% หรือคิดเป็น 31,123 ยูนิต ราคาเสนอขายเฉลี่ย 72,581 บาทต่อตารางเมตร เหลือซัพพลายคงค้างเพียง 6,892 ยูนิต
ส่วนพื้นที่หัวหิน -ชะอำมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเสนอขาย 28 โครงการ รวมทั้งสิ้น 7,476 ยูนิต ซึ่งขายได้แล้ว 73% จำนวน 5,452 ยูนิต ราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 83,448 บาทต่อตารางเมตร เหลือซัพพลายคงค้าง 2,024 ยูนิต
ในขณะที่ในภูเก็ตมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเสนอขาย 13,755 ยูนิต จาก 68 โครงการ ขายได้แล้ว 9,306 ยูนิต คิดเป็น 68% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 85,094 บาทต่อตารางเมตร เหลือขายอยู่ที่ 4,449 ยูนิต
“ประเภทอสังหาฯ ที่น่าจับตาในปี 2559 ยังต้องยกให้คอนโดมิเนียม เนื่องด้วยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคหลายกลุ่มยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว และแรงงานชำนาญการต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย เอื้อให้เกิดความต้องการที่พักอาศัยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่คอนโดมิเนียมในพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ที่นิยมซื้อเพื่อการลงทุน มีจำนวนลดน้อยลง สาเหตุหนึ่งมาจากจำนวนที่ดินมีเหลือไม่มากนัก อีกทั้งราคาคอนโดมิเนียมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในมีราคาสูง หากซื้อเพื่อการลงทุนต้องใช้เงินจำนวนมาก ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองตากอากาศชั้นนำของประเทศไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุนรายย่อย และผู้บริโภคที่สนใจซื้อเป็นสินทรัพย์ระยะยาว ซึ่งคอนโดมิเนียมในเขตพื้นที่เมืองตากอากาศเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มีข้อดีคือผู้ซื้อสามารถเห็นสภาพโครงการ และห้องได้จริง ไม่ต้องกังวลปัญหาสร้างไม่เสร็จตามกำหนด สามารถย้ายเข้าอยู่ หรือปล่อยเช่าเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ทันที” นายภูมิภักดิ์ กล่าว
ภาพ: โครงการบ้านไม้ขาว ภูเก็ต พัฒนาโดยแสนสิริ
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
