กทท.ลงนามไอทีดี-ดับเบิ้ลยูเอช เร่งก่อสร้างศูนย์ขนส่งสินค้าทางรถไฟท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมเปิดได้ในปี 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยหลังจากลงนามสัญญาโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ท่าเรือแหลมฉบัง ที่โรงแรมอมารีวอเตอร์เกท ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้ลงนามกับกิจการร่วมค้าไอทีดี-ดับเบิ้ลยูเอช (ITD-WH Consortium) ประกอบด้วยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Henan Weihua Heavy Machinery จำกัด ผู้ชนะการประกวดราคาเพื่อก่อสร้างในโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง วงเงิน 2,944.93 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าในท่าเรือแหลมฉบังให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 18 เดือน หรือจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2560
สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 20 โครงการเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคมที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยจะเป็นการก่อสร้างลานขนถ่ายสินค้าทางรถไฟ และติดตั้งรางรถไฟ จำนวน 6 พวงราง แต่ละรางมีความยาว 1,224 – 1,434 เมตร สามารถจอดขบวนรถไฟได้รางละ 2 ขบวน รวม 12 ขบวนในเวลาเดียวกัน พร้อมติดตั้งเครื่องมือยกขนตู้สินค้าชนิดเดินบนราง เพื่อจัดเรียงตู้สินค้าในลานกองเก็บตู้สินค้า ตั้งเป้าหมายขนถ่านสินค้าแต่ละขบวนได้แล้วเสร็จในเวลา 1 ชั่วโมง จากปัจจุบันใช้เวลา 2 ชั่วโมง สามารถรองรับตู้สินค้าได้ 2 ล้านทีอียูต่อปี
“ปีนี้จะต้องเร่งลงทุนในทุกโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เพื่อรองรับความต้องการที่จะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะหากรอให้ความต้องการเต็มศักยภาพแล้วค่อยทำ ก็อาจจะไม่ทันกับความต้องการที่เกิดขึ้น”
นอกจากนี้แล้ว ทาง กทท.ยังอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เพื่อดำเนินโครงการขยายท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 8,400 ล้านบาท โดยขั้นตอนการศึกษาและแล้วเสร็จในปีนี้ จากนั้นจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ดำเนินโครงการ และเปิดประกวดราคาในปี 2560
ทั้งนี้ หากผลการศึกษาเสร็จแล้ว แต่กระบวนการอีไอเอยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะใช้อำนาจตาม ม.44 เพื่อเสนอ ครม.อนุมัติโครงการ และประกวดราคาไปก่อน เมื่ออีไอเอผ่านแล้วก็สามารถลงนามในสัญญาเพื่อก่อสร้างได้ทันที
ด้านเรือเอกสุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนทั้งไทยและจีนประมาณ 3 ราย ที่สนใจจะเข้าร่วมประกวดราคาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในลักษณะพีพีพีหรือไม่ เบื้องต้นมีการกำหนดสัดส่วนการลงให้เอกชนลงทุน 40% และ กทท. 60% แต่เอกชนบางรายเสนอขอลงทุน 100% ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็นเท่าไหร่ แต่คงให้ 100% ไม่ได้ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลดี เพราะช่วยลดงบประมาณของภาครัฐได้
“การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปีจึงจะแล้วเสร็จ สามารถรองรับตู้สินค้าได้อีก 8 ล้านทีอียูต่อปี จากปัจจุบันรองรับได้ 11-12 ล้านทีอียูต่อปี โดยแต่ละปีมีการเติบโตของการใช้บริการประมาณ 4-5% คาดว่าปีนี้จะมีตู้สินค้าใช้บริการจริงอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านทีอียู” เรือเอกสุทธินันท์กล่าว.
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี้
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com