สรุปผลยกแรก 7 บิ๊กอสังหาฯ ยังโต ลุยเปิดของใหม่เพิ่มไตรมาส 2

20 พ.ค. 2559

ช่วงนี้ คงไม่มีกระแสข่าวอสังหาฯ อื่นอันใด ที่จะร้อนแรงไปกว่า ผลประกอบการชิ้นโบว์แดงไตรมาสแรกของแต่ละบริษัท ที่ดาหน้าประกาศศักดาเติบโตท่วมท้นเกิน 100 % จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากผลพวงของมาตรการรัฐ นโยบายลดค่าโอนและค่าจดจำนอง ที่ปิดจ๊อบไม่เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ยอดขาย ยอดโอน ทะลุทะลวงเป็นพันๆล้านบาท

ซึ่งทาง DDproperty.com เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ได้เก็บรวบรวมผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2559 ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย มาให้ได้ชื่นชมกัน

PS ขยายเป้ารายได้เพดานใหม่ 5.3 หมื่นล้าน
แม้ว่า เวทีการแถลงผลประกอบการในครั้งนี้จะขาดขุนพล อย่าง “ทองมา” มาร่วมแจมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ทว่าการแถลงข่าวก็จบลงค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ตรงสคลิปตามที่กำหนด โดยมี “เลอศักดิ์” นั่งแท่นพูดสด ถึงยอดขาย กำไร และรายได้ด้วยหน้าตาแช่มชื่น พร้อม ๆกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ปิยะ” กรรมการผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจแวลู ดูไลน์เซกเม้นต์สิ้นค้าบ้านต่ำกว่า 5 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมล้านต้น ๆ
หลักใหญ่ใจความของพฤกษาในวันนี้ นอกจากประกาศผลประกอบไตรมาสแรกแล้ว ยังมีการปรับรายได้ใหม่ จากเดิมที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีอยู่ 5.2 หมื่นล้านบาท มาเป็น 5.3 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนของรายได้จะมาจากสินค้าในกลุ่มทาวน์เฮาส์ 45% บ้านเดี่ยว 28% และคอนโดมิเนียม 27% ขณะที่ไตรมาสแรก ทางพฤกษา สามารถสร้างรายได้สูงถึง 10,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีรายได้ 8,303 ล้านบาท และคิดได้เป็น 19.4% ของเป้าหมาย 53,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนไตรมาส 2 นี้ เรียกได้เป็นช่วงที่เปิดโครงการจำนวนเยอะสุด โดยเตรียมเปิดโครงการ ทั้งสิ้น 24 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับราคากลาง -ล่าง หนึ่งในจำนวนนั้น เป็นคอนโดมิเนียมย่านปิ่นเกล้า แบรนด์ “พลัม”

AP โชว์ฟอร์มกำไรไตรมาสแรก
แม้ว่า จะเป็นบริษัทค่ายมหาชน ที่ไม่ค่อยแถลงข่าวออกสื่อ แต่ทางเอพี ยังคงมีข่าวคราวออกมาเป็นระลอกๆ ให้ได้ติดตามกัน

ล่าสุด AP แจงผลการดําเนินงานสําหรับไตรมาส 1 ปี 2559 บริษัท มีรายได้รวม 4,172 ล้านบาท ลดลงจาก 5,220 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือลดลง 20.1% อย่างไรก็ตาม จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ประสิทธิภาพ ทําให้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกําไรสุทธิ 455 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของรายได้ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 10.7% ในไตรมาส 1 ปี 2558

ทั้งนี้ การลดลงของรายได้ในไตรมาสแรกเป็นผลมาจากจำนวนการเปิดตัวของโครงการในไตรมาสนี้ลดลงจากปีก่อน อย่างไรก็ดี แม้ว่าจำนวนโครงการใหม่ที่เปิดขาย และส่งมอบในไตรมาสนี้จะลดลงแต่เมื่อแยกประเภทของสินค้าแนววราบยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และรายได้จากแนวราบคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสนี้

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม หรือโครงการแนวสูงนั้น AP สามารถส่งมอบโครงการ Asprie รัตนาธิเบศร์ 2 ในเดือนมีนาคม 2559 โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 มีการส่งมอบไปแล้ว 7.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทได้ทําการส่งมอบ 2 โครงการ ได้แก่ Rhythm สาทร-นราธิวาส ในเดือนมกราคม 2558 และ Aspire Udonthani ในเดือนมีนาคม 2558 โดยได้มีการส่งมอบ 68.7% และ 17.7% ตามลําดับ รวมเป็นมูลค่า 1,210 ล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทําให้โครงการแนวสูงมีอัตราการเติบโตติดลบ 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน สําหรับในปีนี้แผนการส่งมอบโครงการคอนโดมีเนี่ยมใหม่จะอยู่ในช่วงไตรมาส 4 ของปี

มาตรการรัฐ หนุน “ศุภาลัย” โตพรวด 25%
ศุภาลัยฯ ส่งผลการดำเนินงานของไตรมาส 1/2559 มีรายได้จากการขายรวม 6,130.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีรายได้ 5,030.6 ล้านบาท 1,211.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% โดยเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด 51% ซึ่งมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการอาคารชุด 2 โครงการ ส่วนที่เหลือ 49% มาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์

ขณะที่กำไรสุทธิ์ในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 1,396.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 493.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ส่งผลให้มียอดโอนเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นด้วย

NOBLE รายได้ลดฮวบ แจงเหตุไม่มีเปิดโครงการใหม่
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เผยไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีผลการดำเนินงานรวมขาดทุน 137.90 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ผลขาดทุนรวมที่ 104.18 ล้านบาท หรือมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้น 33.82%
โดยสาเหตุหลักเกิดจากในปีไตรมาสนี้บริษัทไม่ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ทำให้ไม่มียอดรับรู้จากโครงการใหม่เข้ามา ขณะที่บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายด้านการขาย และการบริหารงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 148.79 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสแรกของปีก่อนหน้าซึ่งมีค่าใช้จ่าย143.35ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมีการโอนห้องชุดในโครงการเก่าที่จะมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทมีแบ็กล็อกรอรับรู้รายได้ในมือ 21,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายจากโครงการโนเบิล เพลินจิต ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และทยอยรับรู้ในปีนี้

LPN แจงคุมต้นทุนอยู่ รับทรัพย์เพิ่ม 4 พันกว่าล้าน
LPN ชี้ไตรมาส 1 ปี 2559 บริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,424.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,241.57 ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 2558 หรือเพิ่มขึ้น 102.71% โดยรายได้หลักมาจากรายได้จากโครงการเพื่อขาย 90% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2,036.47 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 4,252.02 ล้านบาทในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 2,215.55 ล้านบาท คิดเป็น108.79

สำหรับผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 412.15 ล้านบาท จาก 292.06 เป็น 704.21 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้้น141.12% จากการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้้นต้นไว้ในระดับ 30% ของรายได้ พร้อมทั้งดูแลค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 13.38% ในไตรมาส 1 ปี 2558 เป็น15.92% โดยในไตรมาสนี้ บริษัทมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งมอบ จำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 4 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 1 โครงการ มูลค่ารวมทั้้งสิ้้นประมาณ 10,200 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลุมพินีพาร์ค นวมินทร์-ศรีบูรพา โครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ ร่มเกล้า-สุวรรณภูมิ โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 เฟส 2 โครงการเดอะ ลุมพินี 24 และ โครงการลุมพินี พาร์คบีชชะอำ ซึ่งทั้ง 5 โครงการบริษัทจะทยอยส่งมอบ และรับรู้รายได้ในไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้

อย่างไรก็ดี ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2559 บริษัท และบริษัทย่อยจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,750 ล้านบาท และแผนมีเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 15 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 18,120 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 แอล.พี.เอ็น.ฯ มี Backlog หรือห้องชุดรอรับรู้รายได้รวม 9,500 ล้านบาท โยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559 จำนวน 8,700 ล้านบาท และยกไปรับรู้รายได้ในปี 2560 จำนวน 800 ล้านบาท”

SC ย้ำตลาดบ้านหรูพรีเมี่ยม ยังโตสวนกระแสเศรษฐกิจ
SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ได้ประกาศเป้าหมายยอดขาย และรายได้ปี 2559 ที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งจากไตรมาสแรกผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดีส่งผลให้ภาพรวมบริษัทฯ เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ อีกทั้งไตรมาสแรกได้เปิดโครงการระดับ luxury segment 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท เป็นคฤหาสน์หรู 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ

โดยในไตรมาส 1/59 SC มียอดขาย 2,630 ล้านบาท มีรายได้รวม 3,327 ล้านบาท เติบโต 60% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2558 โดยเป็นรายได้หลักมาจากการขายโครงการที่อยู่อาศัย 3,135 ล้านบาท และรายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่า 188 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 469 ล้านบาท เติบโต 194% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สัดส่วนระหว่างหนี้สินต่อทุน D/E ณ 31 มี.ค.2559 เท่ากับ 1.37 เท่า นอกจากนี้ ณ ไตรมาส 1/59 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog) ประมาณ 7,590 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 50% มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอน ได้แก่ โครงการเซ็นทริค อารีย์สเตชั่น โครงการเซ็นทริค ห้วยขวาง สเตชั่น โครงการเซ็นทริค ซี พัทยา เป็นต้น

และไตรมาส 2/59 ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้จะเปิด 2 โครงการใหม่ เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการรวม 1,660 ล้านบาท ได้แก่ โครงการระดับราคา 3-5 ล้านบาท พร้อมกับแบรนด์ใหม่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี โครงการแรก คือ โครงการ PAVE (เพฟ) ประชาอุทิศ 90 ส่วนโครงการที่ 2 เป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุด ชื่อ โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5 บ้านใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง บนพื้นที่ 12-1-76 ไร่ มูลค่าโครงการ 460 ล้านบาท จานวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

SIRI กวาดยอดขายแตะ 5พันล้านบาท เปิดเพิ่ม 5 โครงการ 7 พันกว่าล้าน
SIRI โชว์ไตรมาส 1/2559 รายได้รวม 7,685 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 10% ซึ่งผลการดำเนินที่ดีนี้เป็นผลมาจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับการโอนคอนโดมิเนียมตากอากาศในจังหวัดติดชายทะเล ทั้งที่พัทยา และในทำเลชะอำ หัวหิน ได้แก่ โครงการเดอะ เบส เซ็นทรัล พัทยา ที่สามารถโอนได้ 1,100 ล้านบาท รวมทั้งยังสามารถปิดการโอน 100% ในโครงการบ้านเพียงเพลิน หัวหิน และบ้านทิวลม ชะอำ และดีคอนโด ซายน์ เชียงใหม่

นอกจากนี้ ยังได้จากยอดโอนจากโครงการฮาสุ เฮาส์ ในทำเลสุขุมวิท 77 อ่อนนุช ได้ถึง 1,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากการปิดการขายคอนโดมิเนียมในโครงการ เดอะ เบส พาร์ค อีสต์ สุขุมวิท 77 และดีคอนโด อ่อนนุช-พระราม 9 ที่เพิ่งเปิดการขายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีกำไรในช่วงไตรมาสแรกประมาณ 556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 541 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายได้จากโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่ 1/2559 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่ 1/2558 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม โดยในไตรมาสที่ 1/2559 แสนสิริ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมร้อยละ 71.4 จำนวน 5,024 ล้านบาท รายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวร้อยละ 24.6 จำนวน 1,732 ล้านบาท และรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์ ร้อยละ 4.0 จำนวน 281 ล้านบาท

ขณะที่แผนไตรมาส 2 นี้ จะเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 5 โครงการ มูลค่า 7,385 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ โดยได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ภายใต้แบรนด์ เดอะ ไลน์ โครงการล่าสุด ในชื่อ “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ในเดือนมิถุนายนนี้ รวมทั้งเปิดโครงการต่อเนื่องสำหรับในทำเลที่มีผลตอบรับที่ดีทั้งในเชียงใหม่ และภูเก็ต ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด นิม” เชียงใหม่ ต่อเนื่องจากโครงการดีคอนโด ซายน์ เชียงใหม่ และเตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ที่ภูเก็ต ได้แก่ “โครงการสราญสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต” โดยตั้งเป้ายอดขาย และรายได้ไตรมาส 2 ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท

REIC เผยดัชนีความเชื่อมมั่นQ1/59 รับอานิสงส์เต็มๆ จากมาตรการรัฐ
ด้านศูนย์ข้อมมูลอสังหาฯ หรือ REIC ได้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ประจำไตรมาส 1 ปี 2559 ที่สำรวจจากผู้ประกอบการจำนวน 168 บริษัท อยู่ที่ระดับ 55.9 สูงกว่าค่ากลางของดัชนีที่ระดับ 50 และปรับเพิ่มจากไตรมาส 4 ปี 2558 ที่ดัชนีมีค่าเท่ากับ 54.6 สะท้อนว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น

ผู้ประกอบการโดยภาพรวมมีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้น จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มประกาศใช้ในไตรมาส 4 ปี 2558 โดยคาดหวังว่ากระแสตอบสนองของผู้ซื้อต่อมาตรการจะอยู่ในระดับสูงในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของมาตรการ ทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นทั้งในด้านยอดขาย ต้นทุนและการเปิดโครงการใหม่หรือเฟสใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Listed) มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นสูงกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน (Non-Listed) โดยผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนมีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 65.9 ซึ่งสูงขึ้นกว่าระดับ 63.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายกลางและรายย่อย) มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 46.0 ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 45.5 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าค่ากลาง (ค่ากลางเท่ากับ 50)

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนหน้า (Expectations Index) ประจำไตรมาส 1/2559 มีค่าเท่ากับ 64.4 ปรับลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2558 ที่มีค่าเท่ากับ 67.2 โดยเมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับ 71.9 ปรับลดลงมากจากระดับ 77.8 ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับ 56.9 ซึ่งค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับระดับ 56.6 ในไตรมาสที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนมองว่าเมื่อมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองยุติลง ตลาดอาจชะลอลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ปี 2559”

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี้

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

“ออลล์ อินสไปร์ ”อสังหาฯน้องใหม่ตั้งเป้า 2 ปีปูทางเข้าตลาด

“ออลล์ อินสไปร์ ”อสังหาฯน้องใหม่ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องเล็งเปิด 3-4 โครง

อ่านต่อ19 พ.ค. 2559