“เลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายเหมาะกับตัวเราและเป้าหมายที่ต้องการ” – K-Expert
ดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยติดดินในตอนนี้ ทำให้หลายคนมองหาตัวช่วยที่จะทำให้เงินที่มีอยู่งอกเงยได้เร็วขึ้น กองทุนรวมเป็นตัวเลือกหนึ่งทีช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินลงทุนของเราได้ แล้วจะเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมอย่างไรดีนั้น K-Expert มีคำแนะนำมาฝาก
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า กองทุนรวมคืออะไร ?
กองทุนรวมเป็นการนำเงินของนักลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ (อ่านบทความ :หุ้นกู้คืออะไร) ทองคำ ตามนโยบายที่กองทุนระบุไว้ โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมเงินลงทุนของเรา ซึ่งคนที่มาช่วยบริหารเงินของเรานั้นคือ ผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ จึงอุ่นใจได้ว่า มีมืออาชีพเป็นผู้ดูแลเงินให้กับเรา
แต่ถึงแม้ว่ากองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารเงินให้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง และได้ผลตอบแทนสูงๆ ตลอดไป เพราะผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุนกองทุนรวมขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร ถ้าเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น หากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าตลาดหุ้นปรับตัวลง กองทุนรวมที่เราถืออยู่ ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับลดลงได้
แล้วกองทุนแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา?
การทำแบบประเมินความเสี่ยงจะช่วยให้ทราบว่า ตัวเรารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน และกองทุนรวมประเภทไหนที่เหมาะกับตัวเรา เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็เหมาะกับกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในเงินฝาก พันธบัตร และหุ้นกู้ แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ก็เหมาะที่จะลงทุนในกองทุนรวมหุ้น เช่น กองทุนรวมหุ้นประเภท ทริคเกอร์ ฟันด์ (Trigger Fund) ซึ่งแบบประเมินความเสี่ยงนี้ก็หาทำได้ไม่ยากเลย จะไปทำที่ธนาคารต่างๆ หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ก็ได้
แล้วการซื้อกองทุนรวมต้องทำอย่างไร?
เมื่อเลือกกองทุนรวมที่อยากจะลงทุนได้แล้ว ก่อนอื่นก็ต้องไปเปิดบัญชีกองทุนรวมเสียก่อน โดยนำเงินสด บัตรประชาชน และสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ไปที่ธนาคารหรือบลจ.ที่เราตั้งใจจะไปซื้อกองทุนรวม ซึ่งตอนที่เราเปิดบัญชีจะมีให้เลือกว่า เงินปันผลที่เราได้รับจากกองทุนรวมจะให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไปเลยหรือไม่ ก็ขอแนะนำว่า ให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปเลยดีกว่า เพราะถ้าไม่ได้ให้หักภาษี ณ ที่จ่าย เราก็จะต้องนำเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนมารวมคำนวณเป็นเงินได้มาตรา 40(8) ในแบบ ภ.ง.ด. 90 เพื่อคิดเป็นรายได้ในการยื่นภาษีด้วย
เมื่อทำรายการซื้อกองทุนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รับสมุดกองทุนหรือสำเนาคำสั่งซื้อจากธนาคารหรือบลจ. โดยบางบลจ.ไม่ได้มีสมุดกองทุนให้ แต่จะจัดส่งใบยืนยันคำสั่งซื้อกองทุนรวมให้เราทางไปรษณีย์ในภายหลัง ส่วนคนที่ได้รับสมุดกองทุน ในวันที่ซื้อกองทุนรวม สมุดจะแสดงจำนวนเงินที่ซื้อกองทุน ส่วนราคา NAV หรือราคาของกองทุนรวมที่เราซื้อ จะแสดงให้เห็นในวันทำการถัดมา โดยสามารถนำสมุดไปอัพเดตที่ธนาคาร เพื่อทราบราคา NAV ที่เราซื้อได้
เห็นไหมว่า การซื้อกองทุนรวมไม่ใช่เรื่องยาก ช่วงแรกๆ แนะนำให้เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ ก่อน และศึกษาข้อมูลการลงทุนควบคู่กันไปด้วย จากนั้นพอเชี่ยวชาญแล้ว ก็ค่อยเพิ่มจำนวนเงินลงทุน โดยลงทุนให้ตรงกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่เรารับได้เท่านั้นเอง
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ปานตา ฉัตรมาศ CFP K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com