ปัจจุบันมนุษย์เงินเดือนยังคงมีปัญหาค้างคากับเรื่องประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาพยาบาลหรือตกงาน ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในสิทธิผู้ประกันตนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ด้วยกรณีต่างๆ ที่กล่าวมาก็ยังมีผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของ “สำนักงานประกันสังคม” อย่างชัดเจนทำให้เสียสิทธิผู้ประกันตนไปอย่างปริยาย แล้วแบบนี้เงินที่ต้องเสียไป 5% ของเงินเดือน หรือที่มากสุด 750 บาทต่อเดือนจะมีประโยชน์อะไร ลองมาทำความเข้าใจกันให้ดีจะได้ใช้สิทธิให้เต็มที่ ทีนี้มาดูกันว่ากรณีไหนที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มักเข้าใจผิดบ่อยๆ ทำให้เบิกค่าประกันสังคมไม่ค่อยได้
เจ็บป่วยแต่ไม่เข้ารับการรักษาตามโรงพยาบาลที่เลือกไว้
เริ่มแรกของการทำงาน เมื่อทุกคนได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ทุกคนจะได้รู้จักกับนักบริหารบุคคลากรที่เรียกติดปากกันว่า “HR” (Human resources) จัดการเรื่องสิทธิผู้ประกันตนในเรื่องการรักษาพยาบาลให้อันดับแรก โดยให้เลือกโรงพยาบาลที่อยู่ในเงื่อนไขตามสิทธิประกันสังคม หลายคนเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้าน โรงพยาบาลที่คุ้นเคย แต่เวลาที่บัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ออกมามักเป็นโรงพยาบาลอื่นๆ ตรงนี้ผู้เขียนเข้าใจว่าโรงพยาบาลนั้นๆ ที่เลือกไปอาจมีผู้ใช้สิทธิประกันตนเลือกจนเต็มจำนวน ทีนี้มาถึงปัญหาที่พบเจอบ่อยๆ ก็คือทุกครั้งที่เข้าไปรักษาสิทธิตามกฎหมายระบุให้เรามักหลงลืม และเข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลที่ไม่ได้มีบัตรรับรองสิทธิรักษาพยาบาลให้ อันนี้ถือว่าผิดเงื่อนไขสิทธิผู้ประกันตนไม่สามารถเบิกค่าประกันสังคมได้แน่นอน หรือกระทั่งไปถูกโรงพยาบาลแล้วแต่จำเป็นต้องทำการรักษาเป็นผู้ป่วยใน นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ได้ทำการขอห้องพิเศษหรือห้องส่วนตัว อันนี้ประกันสังคมจะออกค่ารักษาให้แต่ทั้งนี้ก็ต้องจ่ายค่าห้องพิเศษตามที่ขอไปเอง รวมไปถึงโรคบางโรคที่บัตรรับรองสิทธิการรักษาไม่สามารถออกค่าใช้จ่ายให้ได้ เช่น การผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะ เมื่อเกิดกรณีเจ็บป่วยอาการหนักแบบนี้ผู้ประกันตนจึงมักเลือกโรงพยาบาลระดับสูง และขอสละสิทธิ์รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากโรงพยาบาลที่ร่วมกับประกันสังคมไม่สามารถรักษาโรคที่มีค่ารักษาสูงเกินขีดจำกัดของผู้ประกันตนได้ หรืออีกหนึ่งความหมายก็คือเงินเดือนล่ะ 750 ของท่านทุกๆ เดือนไม่เพียงพอต่อการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากๆ นั่นเอง
กรณีว่างงาน จากเหตุสุดวิสัยหรือทำผิดเงื่อนไขตามที่ประกันสังคมกำหนดไว้
กรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้ประกันตนเข้าใจผิดบ่อยที่สุด เพราะการตกงานหรือว่างงานนั้นมีหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกไล่ออก จ้างออก หรือทำผิดกฎบริษัทก็ตาม ทั้งนี้การจะผิดหรือไม่ผิดเงื่อนไขตามที่สำนักงานประกันสังคมกล่าวไว้มีด้วยกันหลายเหตุผล แต่ที่สำคัญ ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธินี้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน (ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา) โดยกรณีที่มนุษย์เงินเดือนที่ไปยื่นรับสิทธิและไม่ได้รับสิทธิดังกล่าวที่เห็นกันบ่อยๆ ก็คือ การลาออกจากงานก่อนระยะเวลา 6 เดือน ตรงนี้กฎหมายกำหนดชัดเจนไว้ แล้วตามข้อความข้างตน ดังนั้นผู้ประกันตนจะไม่ได้รับเงินชดเชยอย่างแน่นอน กรณีต่อไปก็คือ นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวจากเหตุสุดวิสัย ซึ่งอาจจะมีระยะเวลาหลายเดือน ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องไปยื่นขอเงินชดเชยกรณีว่างงานให้เสียเวลาเพราะตามกฎหมายยังไม่ถือว่าว่างงาน แต่เกิดจากการหยุดกิจการชั่วคราว ซึ่งอาจมีเหตุมาจากสถานประกอบการน้ำท่วม ไฟไหม้ อีกทั้งสิ่งที่ผู้ประกันตนละเลยก็คือ ไม่ยอมไปขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานที่สำนักจัดหางานภายใน 30 วัน นับจากวันที่ว่างงานเพื่อเป็นการแสดงสิทธิเบื้องต้น ซึ่งหากเลย 30 วันไปแล้วถือว่าสละสิทธิ์ นอกจากนั้นแค่เพียงไปยืนยันสิทธิ์ไม่พอ จะต้องไปรายงานต่อเจ้าหน้าที่สำนักจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิ์เงินชดเชยค่าจ้างกรณีว่างงานจะต้องไม่ทำผิดกฎดังต่อไปนี้ด้วย ซึ่งหากมนุษย์เงินเดือนคนไหนได้กระทำการใดหนึ่งใน 6 ข้อนี้ ก็ลืมเรื่องการขอสิทธิ์ตรงนี้ไปได้เลย
1.ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
2.จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
3.ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณี ร้ายแรง
4.ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
5.ประมาทเลินล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
6.ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
ทั้งนี้กรณีถูกเลิกจ้างหรือกรณีลาออกก็จะได้รับเงินชดเชยแตกต่างกันไป โดยกรณีถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างโดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ภายในเวลา 180 วันหรือ 6 เดือน ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนมีเงินเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท จะได้รับเดือนละ 5,000 บาท รวม 6 เดือนก็จะได้รับ 30,000 บาท ส่วนกรณีลาออกจะรับน้อยกว่า ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนมีเงินเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท จะได้รับเดือนละ 3,000 บาท รวม 3 เดือนก็จะเป็น 9,000 บาท
ทั้ง 2 กรณีนี้เป็นกรณีที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เงินเดือนบ่อยๆ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาล หลายคนทำตามเงื่อนไขแต่มักได้รับบริการแบบที่เรียกว่า “ปวดหัวก็ได้ยาพารา ปวดตาก็ได้ไทลินนอล” ทั้งนี้เนื่องจากเงินสมทบถูกมองว่าเป็นจำนวนเงินที่มีขีดจำกัดการรักษาจึงมักเป็นการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น แต่หากมีการป่วยขั้นต้องทำการรักษาขนาดต้องพักฟื้นกับโรงพยาบาลที่มีบัตรรับรองสิทธิการรักษา การทำประกันสังคมไว้ก็สามารถช่วยจ่ายค่ารักษาในส่วนนี้ได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com