21 วิธีช่วยให้ลูกพัฒนาสมองแบบเต็มศักยภาพ

1 ม.ค. 2560

สมอง ถือเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่น่ามหัศจรรย์มาก และมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในช่วงแรกของชีวิต ด้วยเหตุนี้คุณแม่และคุณพ่อจึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อให้ลูกน้อยสามารถเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และเป็นคนที่มีศักยภาพถึงที่สุด ซึ่งวันนี้เรามีตัวช่วย 21 เทคนิคที่จะทำให้ลูกน้อยของคุณมีพัฒนาการด้านสมองได้อย่างเต็มที่

 

1.กระตุ้นการมองเห็นเพื่อพัฒนาสมอง
การสบตากับลูกนั้นจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้ลูกเห็นภาพได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกจดจำใบหน้าได้ด้วย นอกจากนี้นักวิจัยยังเชื่ออีกว่าการกระตุ้นการมองเห็นของลูกยังทำให้ลูกเริ่มมีทักษะการแก้ไขปัญหาและเริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งต่อมาการมองเห็นจะพัฒนาเป็นการสบตา เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจกับคนอื่นๆ เพื่อให้ลูกมีความเป็นผู้นำ

2.กระตุ้นด้วยเสียงเพลง
เด็กๆ ที่ฟังเพลงคลาสสิกหรือเพลงแจ๊สจะมีผลการเรียนที่ดี ชื่นชมกับศิลปะและมีความสงบมีสมาธิมากกว่าเด็กที่ฟังเพลงประเภทอื่นๆ ที่พลังงานด้านลบ เช่นเพลงแร๊พ อาร์แอนด์บี ฮาร์ดร็อค เพลงคันทรี เมทัล เนื่องจากเพลงเหล่านี้จะทำให้ไอคิวลดลง นอกจากนี้เด็กที่เล่นดนตรียังมีทักษะด้านสังคมที่ดีขึ้นถึง 15-20 จุดของไอคิว

3.สอนให้ลูกเข้าใจในเหตุและผล
หากคุณพ่อคุณแม่สอนว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่ลูกทำนั้น จะส่งผลอื่นๆ ต่อไป จะทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีเหตุผล เข้าใจเวลาที่ร้องขอแล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถให้ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อไปเป็นการทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ ในอนาคตของลูก

4.กินนมแม่
มีงานวิจัยมากถึง 400 ชิ้น ที่บอกว่านมแม่นั้นดีที่สุดสำหรับลูกทั้งช่วงวัยเด็กไปจนถึงวัยเตาะแตะ ยกเว้นว่าจะมีเหตุจำเป็นไม่สามารถให้นมแม่ได้ ดังนั้นการให้นมแม่ควรให้นานที่สุดเท่าที่จะให้ได้ เด็กที่กินนมแม่ล้วนจะเป็นภูมิแพ้น้อยลง ป่วยน้อยลง น้ำหนักขึ้นได้ดีขึ้น และมีความมั่นคงทางอารมณ์สูง แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับโภชนาการของคุณแม่ช่วงที่ให้นมลูกด้วย

5.งดทีวี

why-infants-and-toddler-should-avoid-tv
ทีวีก็คือการล้างสมองหรือการสะกดจิตดีๆ นี่เอง ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรให้ลูกดูทีวีเลย เด็กที่ไม่ได้ดูทีวีจะมีผลการเรียนที่ดีกว่า มีปัญหาพฤติกรรมที่น้อยกว่า ครอบครัวที่มีทีวีในบ้านลูกๆ จะมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่น้อยลง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ

6.การสัมผัสสำคัญสุดๆ
เด็กที่มีการสัมผัสกับคุณพ่อคุณแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเป็นประจำ จะมีระดับฮอร์โมนที่ดีกว่าเด็กที่ได้รับการสัมผัสน้อย ซึ่งระดับของฮอร์โมนนี้เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคชราอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกอีกด้วย

7.ปล่อยให้ลูกสอนบ้าง
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการสอนคนอื่น ดังนั้นปล่อยให้ลูกสอนบ้าง เพราะนอกจากจะได้ทักษะการสื่อสารแล้ว ลูกยังทบทวนสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของเขาเองอีกด้วย

8.เปลี่ยนกิจวัตรบ้าง
สำหรับเด็กที่เป็น ADHD กิจวัตรคือเรื่องที่สำคัญและทำให้เขาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับเด็กธรรมดาๆ แล้ว การเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ อย่างเปลี่ยนการส่งหน้าโรงเรียนเป็นการส่งบนห้อง เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่ง เปลี่ยนอาหารบ้าง จะช่วยให้ลูกเกิดทักษะยืดหยุ่นมากขึ้น ให้ลูกเป็นคนที่ไม่ยึดติด

9.เล่นเกมส์ถ้วย 3 ใบ และลูกบอล 1 ลูก
magic-cup-game-for-memory-and-focus

การซ่อนลูกบอลไว้ในถ้วยแล้วสลับตำแหน่งไปมา นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว ยังช่วยให้ลูกเข้าใจในเรื่องที่ว่า วัตถุนั้นหายไปแล้วกลับมาใหม่ได้ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะการสังเกตและการแก้ไขปัญหา ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ พัฒนาการสอดประสานระหว่างมือและตา

10.ปล่อยให้ลูกเรียนรู้
พัฒนาการหนึ่งของลูกคือ การเข้าใจในแรงโน้มถ่วงของโลก เวลาที่ปล่อยสิ่งของให้ร่วงลงพื้นแล้วหยิบขึ้นมา ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ในจังหวะนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถเพิ่มเติมในเรื่องของการเก็บของที่ตัวเองทำตก หรือเก็บของเล่นเมื่อเล่นเสร็จแล้วได้ด้วย ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมาก อีกเรื่องคือหากลูกปาไปไกลเกินไป ก็อาจจะหาไม่เจอได้นั่นเอง

11.ผิวสัมผัสต่างๆ
ประสาทสัมผัสของลูกทางด้านการสัมผัสคือเรื่องที่สำคัญมากๆ ผิวสัมผัสของผ้าแต่ละแบบ พื้นดิน หิน ทราย และน้ำ มันยังเป็นเรื่องใหม่มากๆ สำหรับลูกที่เขาจะเรียนรู้ อย่างไรก็ตามนี่คือวัยเอาของเข้าปาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูลูกอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน

12.อาหารเล่นได้ไม่ใช่แค่ของกิน
let-your-baby-to-eta-with-their-hands-and-be-messy-infographic-1

อย่างน้อยควรให้ลูกใช้มือหยิบกินได้ เด็กๆ ที่อายุต่ำกว่า 4 ปีนั้น ยังไม่สามารถใช้ช้อนส้อมได้ดี ดังนั้นการปล่อยให้ลูกใช้มือหยิบกิน จะทำให้ลูกได้สำรวจและเก็บข้อมูลของอาหารแต่ละอย่าง ช่วยให้มื้ออาหารไม่ต้องเป็นการป้อนอย่างเดียว นอกจากนี้ไม่ควรเปิดทีวีขณะการรับประทานอาหาร เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่ากินแค่ไหนถึงเรียกว่าอิ่ม ไม่ใช่นั่งกินเพลินอยู่หน้าจอทีวี เพราะจะทำให้ติดเป็นนิสัยและเริ่มต้นสร้างลูกให้เป็นโรคอ้วน

13.เรียนรู้ภาษาง่ายกว่าตัวเลข
การสอนเรื่องตัวเลขและอักษรคือเรื่องยากสำหรับเด็กๆ แต่กลับกันในแง่ของการสื่อสารและเรื่องของภาษา มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าเด็กสองภาษาจะมีการเรียนรู้ที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่พูดภาษาเดียว แถมยังเป็นทักษะที่ติดตัวไปจนโตและได้เปรียบกว่าคนอื่นด้วย

14.อ่าน อ่าน อ่าน อ่านเข้าไปให้มันหลุดโลก
ขณะที่ลูกยังจำคำศัพท์ต่างๆ ไม่ได้ แต่ลูกจะเริ่มเข้าใจเนื้อหาต่างๆ ในหนังสือหรือหนังสือพิมพ์แล้ว มีงานวิจัยที่บอกว่า เด็กที่มีอายุเพียง 8 เดือน จะสามารถจำรูปแบบได้ และเด็กอายุ 2 ขวบ จะสามารถจำคำง่ายๆ บนหนังสือได้แล้ว นอกจากการอ่านนิทานปกติแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถต่อยอดเป็นการถามลูกถึงเรื่องที่เพิ่งอ่านไปได้ หรือให้ลูกแต่งนิทานต่อจากนั้นก็ได้

15.ให้ลูกแต่งนิทานเองบ้าง
create-stories-with-your-kids

ส่วนใหญ่เด็กๆ จะเป็นนักแต่งนิทานไม่ใช่นักเล่าเรื่อง การปล่อยให้จินตนาการของลูกมาโลดเล่นอยู่ในความเป็นจริงบ้าง โดยที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยปะติดปะต่อคำให้เป็นประโยคบ้าง ก็จะยิ่งทำให้เรื่องราวนั้นน่าสนุกและน่าติดตาม

16.ให้ลูกจำหน้าคนในครอบครัวให้ได้
ยังไม่จำเป็นต้องให้ลูกจำชื่อคนในครอบครัวให้ได้หมด เพราะไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ๆ ถ่ายรูปสมาชิกในครอบครัวไว้ แล้วเอารูปของแต่ละคนมาทำเป็นการ์ด เล่นเกมส์ความจำกัน เช่น คนนี้ชื่ออะไร หรือ คนนี้เคยซื้อของขวัญอะไรให้ นอกจากนี้ยังจะช่วยลดความกลัวคนแปลกหน้าของลูกลงอีกด้วย

17.ให้ลูกนำบ้าง
เรื่องที่ไม่ได้หนักหนาเช่น เลือกร้านอาหาร เลือกสี เลือกอาหาร ลองให้ลูกเป็นคนเลือกดู เพราะมันจะเป็นการสอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบให้สิ่งที่เขาทำลงไป ช่วยให้ลูกนึกถึงใจผู้อื่นด้วย หากลูกโตขึ้นมาหน่อยแล้วที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง ลองให้เขารับผิดชอบการกำจัดสิ่งปฏิกูลเรื่องเปลี่ยนน้ำตู้ปลา เก็บขี้หมาขี้แมว ก็เป็นการสร้างความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเล็ก

18.พูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกบ่อยๆ
how-to-talk-with-children-about-their-feelings

ไม่ว่าจะมีความสุข เศร้า หรือเฉยๆ ลองอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกยังไง สิ่งเหล่านี้จะสอนให้ลูกรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่เขาจะรู้สึกหรือมีอารมณ์ใดๆ และอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีเหตุผลที่มาที่ไป ยิ่งในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่เป็นโรคซึมเศร้าโดยที่ไม่รู้ตัว การให้ลูกรู้อารมณ์ตัวเองจึงช่วยได้เยอะ

19.สำรวจโลกกว้างหน้าบ้านก็ได้
เรื่องการสำรวจคือสิ่งที่เด็กแทบทุกคนถนัด สร้างสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและรอบๆ บ้านให้ปลอดภัย ให้ลูกหาของเล่นชิ้นที่หายไป หาดอกไม้สีต่างๆ ก้อนหิน หรือสมาชิกในบ้านตามคำใบ้ และยังต่อยอดหากลูกต้องการข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย

20.สร้างหนังสือแห่งความทรงจำ
ถ่ายรูปหรือให้ลูกวาดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาเจอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือตรงกันข้ามก็ตามแต่ค่ะ เพื่อให้ลูกได้ระลึกถึงและบอกถึงความรู้สึกต่างๆ จากนั้นนานๆ ทีก็มาเปิดให้ลูกได้เล่าเรื่องราวนั้นอีกครั้งนึง เป็นการสร้างขั้นตอนที่เรียกว่า การฟื้นความทรงจำนั่นเอง

21.ให้ลูกทำงานบ้างแม้จะยังทำได้ไม่ดีก็ตาม
เด็กๆ ชอบช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว ให้ลูกเป็นผู้ช่วยบ้าง เอาของไปให้คนในบ้าน หยิบของให้หน่อย ปัดกวาดบ้าง ล้างผลไม้ หรือเด็ดผัก คุณพ่อคุณแม่กำลังสอนลูกให้มีความรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในงานบ้าน ซึ่งจะเป็นผลดีในตอนที่ลูกโตด้วย

ที่มา Developing Human Brain

สามารถอ่านรีวิวโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมได้ที่นี่

ขอบคุณบทความจากเว็บไซต์ theAsianparent.com เว็บไซต์ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงลูกอันดับ 1 ในประเทศไทย

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ