2 ข้อสมการคนรวย ที่ควรท่องไว้!

19 ม.ค. 2560

“ออมก่อนใช้ สำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน และลงทุนให้เงินงอกเงย เพื่อความมั่งคั่งอย่างมั่นคง”

จริงอยู่ว่าการที่คนเราจะมีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองร่ำรวย แต่ขอให้มีเงินใช้จ่ายอย่างพอเพียงและมีทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิตก็มีความสุขได้ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่าถ้าสามารถมีฐานะที่ร่ำรวยขึ้นได้ จะไม่ทำตาม เพราะการมีฐานะหรือเงินทองที่เพิ่มขึ้นก็สามารถสร้างทางเลือกและโอกาสให้ชีวิตได้ดีกว่าแน่นอน

คงต้องมาตั้งคำถามกันอีกว่าทำไมสัดส่วนประชากรของคนรวยถึงมีน้อยมากๆ เป็นเพราะคนเหล่านั้นมีพรสวรรค์พิเศษ หรือโชคดีมีมรดกตกทอดมาอย่างนั้นรึเปล่า ซึ่งความจริงอาจจะมีส่วนบ้างที่บางคนรวยมาแต่กำเนิด แต่ก็มีอีกหลายคนที่สามารถร่ำรวยได้ด้วยตัวเอง มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีระดับโลกหรือของประเทศไทย ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพื้นฐานที่มีฐานะร่ำรวย

คราวนี้ K-Expert จะพาไปดูว่า คนรวยเค้ามีแนวทางอย่างไรที่ส่งตัวเองให้มีเงินทองมากกว่าคนโดยทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เพียงแค่รักษาสถานะตัวเองไม่ให้จนลงก็เหนื่อยแล้ว คนรวยส่วนใหญ่จะดำเนินการตามสมการง่ายๆ 2 สมการดังนี้

สมการแรกคือ รายได้ – เงินออม = ค่าใช้จ่าย สมการนี้ดูเป็นสมการง่ายๆ ที่ทุกคนแทบจะเคยได้ยิน แต่มีไม่น้อยที่ปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะสมการนี้มีหัวใจสำคัญคือ ถ้าเราอยากมีเงินเก็บ เราต้องกันเงินส่วนนี้ออกมาจากรายได้ก่อน หลังจากนั้นเหลือเท่าไรค่อยนำไปใช้จ่าย และต้องบริหารให้เพียงพอ เราก็จะสามารถมีเงินเก็บเพื่อทำตามเป้าหมายของเราได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเงินออมคือเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ซึ่งด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มีสิ่งหลอกล่อเงินในกระเป๋าเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสวยๆ อาหารอร่อยๆ หรือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ก็ทำให้เรามีเงินไม่พอกับรายจ่ายเหล่านั้นแล้ว อย่าว่าแต่เหลือเก็บเลย ไม่เป็นหนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วสมัยนี้ แต่คนที่ออมเงินได้ก็อย่าเพิ่งคิดว่านี่ก็เพียงพอให้เรารวยแล้ว เราต้องดูว่าเราสามารถนำเงินนั้นไปสร้างผลตอบแทนได้มากเท่าไรมากกว่า

จึงเป็นที่มาของสมการที่สองคือ เงินออม – เงินฉุกเฉิน = เงินลงทุน สมการนี้สำคัญมากที่จะทำให้คนรวยหรือไม่ เพราะหลายคนพอมีเงินออมก็คิดอยู่อย่างเดียวคือ เอาเงินไปฝากธนาคารและคิดว่าถ้าฝากต่อไปเรื่อยๆ จะรวย แต่แท้จริงแล้วไม่แน่นอนเสมอไป การฝากเงินอาจจะทำให้เรามีเงินเก็บพออยู่พอกิน แต่ไม่สามารถทำให้เรารวยขึ้นได้ เพราะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 3% ต่อปี แปลว่าทุกๆ ปี ข้าวของจะแพงขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า ซึ่งถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทนของเงินฝากไม่ว่าจะออมทรัพย์ หรือฝากประจำมักให้ดอกเบี้ยไม่ถึง 3% โดยมีตั้งแต่ 0.5%-2.5% ดังนั้นแปลว่าทุกๆ ปี เงินที่เราเก็บไว้จะมีมูลค่าลดลง เพราะเงินของเราโตไม่เท่าราคาข้าวของที่แพงขึ้น ซึ่งทำให้เราต้องใช้จ่ายให้น้อยลง ทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะไปชนะเงินเฟ้อดังกล่าวให้ได้ ซึ่งหลักการง่ายๆ คือคนรวยมักจะนำเงินออมที่หักเงินใช้จ่ายประจำวันและเงินเผื่อฉุกเฉินแล้ว ไปลงทุนให้ได้มากกว่า 3% ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือการทำธุรกิจ

โดยสรุปถ้าเราอยากมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่ารวยขึ้น มีขั้นตอนดังนี้

1. กันเงินออมก่อนนำไปใช้จ่าย เพื่อให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย และมีเงินเหลือเก็บตามที่ตั้งใจไว้

2. นำเงินออมบางส่วนเก็บเป็นค่าใช้จ่ายและเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน โดยควรจะเก็บไว้ในรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูง เพราะเราต้องนำมาใช้จ่ายและถ้ามีเหตุฉุกเฉินไม่ว่าจะมีอุบัติเหตุหรือตกงานก็สามารถนำเงินก้อนนี้มาใช้ได้ เช่นการเก็บไว้ในเงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ และสามารถขายคืนได้ โดยได้เงินภายในวัน (ทำการ) ถัดไป ซึ่งค่าใช้จ่ายประจำวันเราควรจะมีการเก็บไว้ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ส่วนเงินสำรองควรเก็บไว้สัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำเดือน

3. นำเงินออมที่เหลือจากเงินฉุกเฉินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า 3% สุดท้ายคือเงินก้อนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายและเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เราควรหาแนวทางไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า 3% ซึ่งรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนสูงก็ย่อมตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย อันนี้แล้วแต่เทคนิคในการลงทุนของแต่ละคน เช่น

• ถ้าทำงานประจำ ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข้อมูลมากนัก และรับความเสี่ยงได้พอสมควร สามารถลงทุนในกองทุนรวมผสมซึ่งมีการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และเงินฝาก ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
• ถ้าทำงานประจำ ไม่มีเวลาติดตามตลาดการลงทุนมากนัก โดยรับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูง โดยที่เราให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้บริหารเงินลงทุนหรือเลือกหุ้นแทนเรา น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
• ถ้ามีเวลาและรับความเสี่ยงได้สูง สามารถพิจารณาการลงทุนในหุ้นเลย เพราะสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนตามความชอบและจังหวะของเราได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่เราต้องรับได้ด้วย รวมถึงต้องใช้เวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสารและวิเคราะห์ให้ดี
• ถ้าเรามีทักษะและมีเวลาศึกษาความรู้เพิ่มเติม อาจจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี และสำหรับบางคนก็มีความสุขในการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักด้วย

สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่รู้เพียงว่าคนรวยทำอะไรถึงได้รวย แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราอดทนลงมือทำตามแนวทางนั้นอย่างจริงจังและทำด้วยความตั้งใจหรือเปล่า

สามารถอ่านบทความน่าสนใจทางอสังหาริมทรัพย์และโครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมใหม่ ได้ที่นี่

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ