ข่าวการขึ้น VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม มีมาให้ดราม่ากันทุกปี เรียกว่ามาเมื่อไหร่ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทุกครั้ง ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้คงอัตรา VAT 7% ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2560-30 กันยายน 2561 หลังจากนั้น ‘อาจ’ ขึ้นอัตรา VAT เป็น 10% ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลในขณะนั้น คนก็เลยกลัวกันว่าจะมีการกลับไปใช้ VAT 10% อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งบอกกันกระแสดราม่าตั้งแต่บรรทัดนี้เลยว่า ‘ยาก’
ไทยกับ VAT 10%
กระแสดราม่าการขึ้น VAT มีมาทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 ที่ระบุในมาตรา 4 ว่า ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรา 80 เเห่งประมวลรัษฎากรเเละคงจัดเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
(1) 6.3% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งเเต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560-30 กันยายน 2561
(2) 9% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
พูดกันตามตรงแล้วตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% โดยแบ่งเป็นตัวภาษีเก็บเข้าสรรพากร 9% และส่งเข้าท้องถิ่นอีก 1% มานานแล้ว แต่ทุกรัฐบาลปรับให้อัตราลดต่ำลงโดยผ่านการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาให้คง VAT ที่ 7% โดยแบ่งเป็นตัวภาษีเก็บเข้าสรรพกร 6.3% และส่งเข้าท้องถิ่น 0.7% โดยมีการเก็บ VAT 10% เพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เท่านั้น แม้จะมีความพยายามที่จะกลับไปใช้ VAT 10% แต่เรียกว่าไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำ เพราะกระแสต่อต้านจากภาคธุรกิจและประชาชน และความไม่พร้อมทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
จะเกิดอะไรขึ้นหากขึ้น VAT 10%
เนื่องจาก VAT เป็นภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าและรับบริการ รวมถึงผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า ส่งออก ผู้ผลิต ผู้ให้บริการขายส่ง ขายปลีก โดยสัดส่วนภาษีที่ได้จาก VAT มีมากถึง 30% ของรายได้ที่จัดเก็บทั้งหมด การเก็บ VAT เพิ่มจากเดิม 1% จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเกือบ 1 แสนล้านบาท หากเก็บ VAT ที่อัตรา 10% จะทำให้รัฐมีรายได้ในปีงบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 2.3 แสนล้านบาท
หากพิจารณาแค่นี้ดูเหมือนรัฐจะได้ประโยชน์ แต่แน่นอนว่าหากมีการปรับ VAT เพิ่มขึ้น ผู้ที่จะได้รับผลกระทบหลัก ๆ คือ ผู้ประกอบการ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการที่ต้องปรับตัวสูงขึ้น ต่อเนื่องมาถึงผู้บริโภคที่ต้องมีค่าครองชีพสูงขึ้น และผลกระทบระยะยาวทำให้การเกิดหดตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
อาจจะดูน่ากลัวแต่ทางกรมการค้าภายในเองก็เกริ่น ๆ ให้ฟังว่า หากมีวันที่ประเทศไทยใช้ VAT 10% จริง ๆ ทางกรมฯ จะต้องพิจารณาราคาสินค้าใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ติดตามดูแลเป็นพิเศษ 200 รายการ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องนำเสนอราคาสินค้าใหม่ให้กรมฯ รับทราบ
ทั้งนี้ ราคาสินค้าใหม่นั้นไม่ใช่ผู้ประกอบการจะบวกเพิ่มจากภาษี 3% เข้าไปทันที แต่ต้องนำต้นทุนการผลิตอื่นมาประกอบเพื่อประเมินผลลัพธ์ราคาใหม่ที่เหมาะสมด้วย ดังนั้น บางสินค้าอาจปรับขึ้นเล็กน้อย และบางสินค้าอาจไม่ต้องปรับขึ้นราคาเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะส่งผลต่อกลุ่มสินค้าราคาแพง และสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น
ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ
สำหรับการเก็บ VAT ในต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบแล้วไทยยังถือว่าอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม เก็บที่ 10% ฟิลิปปินส์ 12% ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่ อยู่ที่ 20% อังกฤษ 18% ฝรั่งเศส 20% ส่วนเดนมาร์ก ฮังการี นอร์เวย์ และสวีเดน เก็บที่ 25% ส่วนประเทศญี่ปุ่นเก็บที่ 8% โดยมีแผนจะเพิ่มเป็น 10% เช่นกัน แต่เพียงแค่ประกาศก็ทำให้เศรษฐกิจหดตัว เนื่องจากญี่ปุ่นพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศถึง 60% จนต้องชะลอแผนออกไปก่อน แต่สำหรับประเทศไทยที่พึ่งพากันส่งออกมากกว่าการบริโภคภายในประเทศ จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาเช่นประเทศญี่ปุ่น
แม้ว่าจะ ‘ยาก’ แต่ก็อาจจะมีทางเกิดขึ้นได้ที่พวกเราจะได้เห็น VAT 10% ในประเทศไทย สำหรับในฝั่งผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปทุกปีว่าจะได้เห็นภาพนั้นกันหรือไม่
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน