ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2560 ถือเป็นปีที่ร้อนแรงจนสามารถสร้างสถิติใหม่ มีจำนวนยูนิตเสนอขายมากที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งภาพนี้จะส่งผลต่อเนื่องถึงตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 จากการวิจัยของบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด คาดว่าจะมีอุปทานเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 10% โดยเทรนด์ที่อยู่อาศัยจะเดินเข้าสู่ภาวะการปรับเปลี่ยนทั้งด้านการลงทุน การอยู่อาศัย และทำเลที่ตั้ง
คอนโดฯ ปี 61 อุปทานเพิ่ม 10% ราคาเพิ่มเฉลี่ย 8%
แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 ด้านอุปทานคาดว่า จะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 55,000 หน่วย หรือ 10% โดยกรุงเทพฯ ชั้นใน และรอบกรุงเทพฯ ชั้นใน จะเป็นทำเลที่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก ในขณะที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกจะมีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไม่มากนัก แต่จะมีจำนวนหน่วยต่อโครงการค่อนข้างมาก สำหรับความต้องการคอนโดมิเนียมจะยังคงเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับอุปทาน ซึ่งจะส่งผลทำให้คอนโดมิเนียมในตลาดปี 2561 คงเหลือประมาณ 58,000-60,000 หน่วย สำหรับระดับราคาคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ ชั้นใน คาดว่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 11% และราคาเฉลี่ยทั้งตลาดปรับขึ้นอย่างน้อย 8% โดยจะเห็นภาพคอนโดมิเนียมในทุกเซ็กเมนต์เข้าไปอยู่ในซอย และเป็นโครงการโลว์ไรส์มากขึ้น เนื่องจากที่ดินริมถนนใหญ่เริ่มหายาก
3 เทรนด์อสังหาฯ ปี 61
เทรนด์ของอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตสามารถสรุปได้เป็น 3 แนวทาง ดังนี้
เทรนด์ที่ 1 ด้านการลงทุน ผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนาโครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) และโครงการแบบผสมผสาน หรือ Mixed-used มากขึ้น เนื่องจากเป็นการกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ลดการแข่งขันทางธุรกิจ ในด้านของผู้ซื้อเองก็หันมาให้ความสนใจโครงการประเภทนี้มากขึ้นเนื่องจากมีราคาถูกกว่า
นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติจะยังคงเข้ามามีบทบาทสำคัญในแง่การลงทุนทั้งด้านเงินลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการกับทั้งรายใหญ่และรายย่อยหลายโครงการ ซึ่งมีมาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยต่างชาติที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนระยะยาวและปล่อยเช่าก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เทรนด์ที่ 2 ด้านการอยู่อาศัยในอนาคต จะเกิดตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ Senior Home หรือ Elderly Care เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น รวมถึงแนวคิดการทำห้องที่อยู่อาศัยได้จริง เช่น ห้องขนาดเล็กแต่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ยั่งยืนด้วยคุณภาพของการก่อสร้าง เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ผู้อาศัยได้รู้สึกผ่อนคลาย และเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ในระยะยาว
เทรนด์ที่ 3 ด้านทำเลที่ตั้ง ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำแนวโน้มการอยู่อาศัย โดยทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
– กลุ่มทำเลใจกลางเมือง จะถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางขนาดย่อม (Node) มากขึ้น เช่น ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ระดับลักซ์ชัวรีที่มีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านราคาสูง แหล่งท่องเที่ยว และร้านอาหารชิค ๆ มากมาย อาทิ พร้อมพงษ์ ทองหล่อ ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ อาทิ แยกรัชดาฯ พระราม 9 ศูนย์กลางของย่านเมืองเก่า อาทิ เยาวราช เจริญกรุง และศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี อาทิ หลังสวน เพลินจิต
– กลุ่มทำเลติดรถไฟฟ้า ทำเลที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ บางซื่อ เนื่องจากทางภาครัฐกำลังพยายามที่จะผลักดันเป็น Transit Oriented Development (TOD) ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างสายสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม
– กลุ่มทำเลริมแม่น้ำ อาทิ บริเวณเจริญนคร เจริญกรุง ที่กำลังจะเป็นศูนย์กลางช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ใหม่
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้นและระยะกลางยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ อาทิ การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศจาก CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม อาจสามารถพัฒนาไล่ทันประเทศไทยได้ ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินซึ่งเคยเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทยโดนกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และทำให้การเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจากชาวต่างชาติเริ่มน้อยลง เนื่องจากมีทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้น
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน