‘ตราเพชร’ กางแผนรุกตลาดวัสดุก่อสร้าง เดินหน้าขยายฐานตลาดทุกช่องทางการขายในไทย พร้อมปักธงต่างประเทศเพิ่มเน้นกลุ่ม CLMV ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 20% ในปี61 จากปัจจุบันอยู่ที่ 17% ดันพอร์ตรายได้ทะยานในอนาคต ทั้งนี้วางเป้ายอดขายปี 60 เติบโต 5%
นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี2560ว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกขยายตลาดทุกช่องทางทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคแบบ 360 องศา หรือ ‘Full Multi Channe’ โดยทั้งนี้ได้วางเป้าหมายการเติบโตในแต่ละช่องทางการขาย ได้แก่ ตลาดส่งออกจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจาก 17-18% เป็น 18-19% ของรายได้รวม ,ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่จาก 13% เป็น 14-15% ของรายได้รวม ,โครงการอสังหาริมทรัพย์จาก 14% เป็น 15% ของรายได้รวม ส่วนร้านค้าตัวแทนจำหน่ายยังคงเป็นช่องทางการขายที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ โดยจะรักษาสัดส่วนยอดขายไว้ที่กว่า 50% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีเป้าที่แล้วซึ่งวางไว้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ารายได้ปี2559 จะใกล้เคียงกับเป้าที่ตั้งไว้
นอกจากนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขยายฐานจากตลาดส่งออกโดเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา ,สปป.ลาว ,เมียนมาและเวียดนาม ที่บริษัทฯ มีแผนเพิ่มยอดขายจากการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวให้มากขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 17% ในจำนวนนี้กลุ่ม CLMV มีส่วนแบ่งถึง70% ที่เหลือเป็นลูกค้าจากประเทศจีนและอินเดีย อย่างไรก็ดีทางบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้ได้ 20% ภายในปี 2561 เนื่องจากมองว่า ประเทศเหล่านี้อยู่ในช่วงพัฒนาประเทศ มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆจึงเล็งเห็นถึงโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปขยายตลาดเพิ่ม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพอร์ตรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
ด้านตลาดในประเทศนั้น บริษัทจะยังชูจุดแข็งด้านสินค้าที่หลากหลายซึ่งปัจจุบันมีสินค้ารวม700-800 รายการ สามารถนำไปสร้างบ้านได้ทั้งหลังและมีบริการช่างติดตั้ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยการขยายตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าทั้งช่องทางขายในห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่และลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 13% และ14% ตามลำดับ โดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น ผนังและหลังคาอยู่ที่ 50:50
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรที่ดียิ่งขึ้น การลงทุนขยายพื้นที่จัดเก็บสินค้า รวมถึงวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการใช้สินค้าเพื่อพิจารณาการลงทุนรองรับความต้องการใช้สินค้าในอนาคตโดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 982,000 ตันต่อปี และในอนาคตมีแผนจะเพิ่มการผลิตอีก 10% ทั้งนี้ต้องดูภาวะเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่วนงบด้านการตลาดปีนี้วางไว้ที่ 5%ของรายได้รวม
สำหรับภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะเห็นการเติบโตประมาณ 5% โดยมูลค่าตลาดรวมหลังคา จะอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนผนัง มูลค่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจัยที่จะทำให้ตลาดโตขึ้นมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ที่จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบโดยเฉพาะบ้านระดับต่ำกว่า 2 ล้านบาท การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงราคาพืชผลการเกษตรที่เพิ่มขึ้น อาทิ ยางพารา อ้อย ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อบรรยากาศการจับจ่ายและกำลังซื้อของผู้บริโภค
<<หาอ่านรีวิวโครงการบ้านใหม่<<
อย่างไรก็ดี มองว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในประเทศฟื้นตัวได้ดีกว่าหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้จากสัญญาณบวกของร้านค้าตัวแทนรายย่อยที่เริ่มสั่งสินค้าเข้าไปสต๊อกในช่วงฤดูกาลขายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่มียอดผลิตและสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในปี2559 เช่น หลังคาจตุลอน มีการเติบโตถึง 37% หลังคาคอนกรีตอดามัส โต 5% แผ่นบอร์ด โต 8% ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้สังเคราะห์โต 5% อย่างไรก็ดีในปีนี้ตลาดกลุ่มซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านเป็นตลาดที่น่าสนใจคาดว่าจะเติบโตขึ้นอยู่ในสัดส่วน 40% ขณะที่บ้านใหม่ อยู่ที่ 60% จากเดิมเมื่อปี2554 ตลาดซ่อมแซมปรับปรุงบ้านมีสัดส่วนอยู่ที่ 10% เท่านั้น สำหรับยอดขายในช่วงเดือนแรกของปีนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งปกติยอดขายจะดีมากในช่วงไตรมาสแรกของทุกปีโดยยอดขายจะเพิ่มสูงจากช่วงปกติประมาณ 5%
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน