ด้วยศักยภาพของพื้นที่เมืองพัทยา เป็นเมืองแห่งการพักผ่อนและท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวปีละกว่า 9 ล้านคน ประกอบกับเมืองพัทยา มีการเติบโตทั้งแหล่งงาน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ อาทิเช่น วิหารเซียน ,เขาชีจรรย์ ,สวนน้ำการ์ตูนเน็ตเวิร์ค และสวนนุงนุช เป็นต้น อีกทั้งการที่รัฐบาลมีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ส่งผลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีดีมานด์ความต้อการอย่างต่อเนื่อง
บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ มีประสบการณ์ด้านธุรกิจก่อสร้างมายาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้กลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.เอ.พี.เพาเวอร์ (KAP Group) ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดบุรีรัมย์มีการพัฒนารวม 4 โครงการ ซึ่งปิดการขายไปแล้ว 2 โครงการ
โดยล่าสุด ทางบริษัทฯได้มาเปิดตลาดและขยายฐานลูกค้าในเมืองพัทยาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 โดยพัฒนาโครงการ”GRAND VALLEY PATTAYA”ด้วยมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ในรูปแบบบ้านพักตากอากาศ บนทำเลแห่งอนาคตในอ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% ของจำนวนบ้านทั้งหมด 43 ยูนิต
อย่างไรก็ดี ทางบริษัทฯได้เปิดขายเฟส 2 จำนวน 23 ยูนิต โดยมีแบบบ้านใหม่ 2 แบบ คือ แบบ Lake View A Plus บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 343 ตารางเมตร(ตร.ม.) และแบบ Grand Hill C Plus บ้านเดี่ยว 1 ชั้น วิวเขาชีจรรย์ บนพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 314 ตร.ม. ราคาขาย 10.5-19.5 ล้านบาทโดยขณะนี้มียอดขายแล้ว 5 ยูนิต วางเป้าปิดการขายโครงการได้ภายในปี 2563 ทั้งนี้ในเฟสแรกได้โอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 17 ยูนิต
ด้านนางปารดา พิทยาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงทิศทางการการลงทุนและศักยภาพของตลาดในเมืองพัทยาว่า นอกจากโครงการ “GRAND VALLEY PATTAYA” ทางบริษัทยังมีที่ดินอีก 14 ไร่ อยู่ในรัศมีใกล้เคียงกับโครงการแรก แต่ต้องพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจว่าปรับตัวดีขึ้นมากน้อยเพียงใด รวมถึงความสำเร็จของโครงการแรกว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ภาพรวมราคาที่ดินในพัทยาปรับขึ้นมามากกว่า 20% ปัจจุบันไร่ละกว่า 8 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสานตอนใต้ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการไปจังหวัดใกล้เคียงในรัศมีไม่เกิน 500 กิโลเมตร(กม.) จากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาตลาด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ,ศรีสะเกษ,มหาสารคาม และจังหวัดสุรินทร์ โดยแต่ละปีตั้งเป้าหมายจะเปิดประมาณ 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท หรือประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี ขนาดโครงการไม่ใหญ่เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการโครงการ พร้อมตั้งเป้ามีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทใน3 ปี โดยปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 10-20%
” บริษัทไม่มีแผนเข้าลงทุนโครงการในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง เรายังคงเน้นพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกับฐานธุรกิจในบุรีรัมย์เพื่อให้ง่ายต่อการทำโครงการ อย่างไรก็ดีตอนนี้กำลังหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาทั้งคอนโดฯและบ้านเดี่ยวในมหาสารคาม ระดับราคาคอนโด 1.2 ล้านบาทขนาดพื้นที่ 30 ตารางเมตรและสุรินทร์ ระดับประมาณ 1.6ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 34 ตร.ม. ซึ่งเป็นแผนใน2 ปีนี้และปีนี้ได้วางงบซื้อที่ดินที่100 ล้านบาท “นางปารดา กล่าว
ในส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในจ.บุรีรัมย์นั้น เติบโตอย่างมาก มีโครงการที่พักอาศัย โรงแรม เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการยกระดับจังหวัดสู่เมืองแห่งการกีฬา ซึ่งในส่วนของโครงการที่บริษัทดำเนินการอยู่ คือ โครงการ เดอะ คีน คอนโดเทล ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนพื้นที่กว่า 6 ไร่ โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 3 เฟส มี 3 อาคาร โดยเฟสแรกเป็นอาคารสูง7 ชั้นจำนวน 69 ยูนิต ปัจจุบันมีหน่วยเหลือขาย 15 ยูนิต ราคาขาย 1.7-4.5 ล้านบาท ส่วนเฟส2 และ3 เป็นอาคารสูง15 ชั้น 2อาคาร รวม 380 ยูนิต นอกจากนี้ด้านยังมีอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ด้วย ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นอีไอเอ คาดว่าจะเปิดพรีเซลได้ในไตรมาส4ปีนี้โดยราคาปรับขึ้นจากเฟสแรก 10%
ตลาดคอนโดฯ กลางเมืองบุรีรัมย์ ลูกค้ากว่า 70 % ในจังหวัดได้เข้ามาซื้อห้องชุดเพื่อปล่อยเช่า โดยราคาห้องสามารถปล่อยเช่าได้ประมาณ 18,000 บาทต่อเดือน ซึ่งตลาดเช่าค่อนข้างเติบโต เนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลหรือรถแข่ง ทีมงานต้องมาเตรียมความพร้อม ทำให้ต้องพักอาศัยติดต่อหลายวัน
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่บริหารการขายอยู่ โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ ไลฟ์ลี่ โฮม บาย เค.เอ.พี. บนพื้นที่โครงการกว่า 47 ไร่ จำนวน 110 ยูนิต ราคาขาย 5-9.5 ล้านบาท ขณะนี้ขายได้แล้ว 47 ยูนิต ซึ่งหากขายได้ถึง50% จะมีการปรับราคาขึ้นอีก 10% นอกจากนี้ ทางกลุ่มยังมีแลนด์แบงก์ใจกลางเมืองบุรีรัมย์ประมาณ 30 ไร่ และนอกเมืองอีกกว่า 100 ไร่ ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาโครงการไปได้อีก 10 ปี อย่างไรก็ตาม ผลจากความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในบุรีรัมย์ทำให้ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นมาก โดยราคาที่ดินช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ไร่ละ 3 ล้านบาท ปัจจุบันขยับสูงถึง 17-20 ล้านบาท หรือราคาพุ่งขึ้นถึง 5 เท่า
ปัจจุบัน KAP Group มีการแบ่งแยกกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์และคอนกรีต มียอดขายประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี กลุ่มก่อสร้างอาคารและโยธา มีปริมาณงานในมือประมาณ 700-800 ล้านบาทต่อปี กลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงคอมมิวนิตี้มอลล์ในจ.บุรีรัมย์.
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน