“จัดลำดับความสำคัญของเป้าหมาย และเลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะกับระยะเวลาที่ต้องการใช้เงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้”
เมื่อพูดถึงการลงทุน หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่อง “จัดพอร์ตลงทุน” เพื่อกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ เงินฝาก เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงหรือโอกาสขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นอย่างเดียวเท่านั้น
แม้ว่าจัดพอร์ตจะเป็นแนวทางการลงทุนที่ K-Expert แนะนำให้กับนักลงทุนไม่ว่าจะมือเก๋า หรือมือใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ทุกเป้าหมายการเงินในชีวิตของเราต้องจัดพอร์ตเสมอไป ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่แนะนำจัดพอร์ตทั้งหมดล่ะ K-Expert มีคำตอบ มาดูกัน
ไม่อยากเสี่ยง
“ไม่อยากเสี่ยง” ในที่นี้ หมายถึง เป้าหมายการเงินที่เราต้องการทำให้สำเร็จนั้น มีความสำคัญมาก หรือไม่อยากต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายมากนักเมื่อถึงเวลาต้องใช้เงิน
เป้าหมายที่ว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น แผนการศึกษาลูก เชื่อว่า เมื่อถึงเวลาลูกเข้าเรียน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องการมีเงินเพียงพอส่งลูกเข้าโรงเรียนที่วางแผนไว้
เช่น ตอนนี้ลูกอายุไม่กี่ขวบ สัก 1-2 ขวบ นั่นหมายความว่า อีกไม่เกิน 2 ปี ลูกจะเข้าเรียนชั้นอนุบาล และไม่เกิน 5 ปี ลูกจะเข้าเรียนชั้นประถม ซึ่งรูปแบบการลงทุนจึงไม่ควรเสี่ยงมากนัก โดยจะเหมาะกับกองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้
แต่หากเป็นการศึกษาระดับชั้นที่มีระยะเวลาเก็บเงินนานขึ้น เช่น ระดับมัธยม ระดับอุดมศึกษา ซึ่งมีระยะเวลาเก็บเงินให้ลูกนานกว่าสิบปี แบบนี้ก็เสี่ยงมากขึ้นหน่อยได้ โดยสามารถแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นสัก 30% ของเงินลงทุน ที่เหลือก็อยู่ในตราสารหนี้ เงินฝาก ก็ช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
อีกเป้าหมายหนึ่งที่หลายๆ คน คงไม่อยากเสี่ยงเช่นกัน นั่นคือ เก็บเงินดาวน์บ้าน ดาวน์รถ เพราะถ้าลงทุนแบบมีความเสี่ยงเข้ามาอยู่ในพอร์ต แล้วเกิดผลตอบแทนไม่เป็นไปตามคาดหวัง อาจทำให้ต้องลดสเปกบ้านในฝัน หรือรถคันงามลงมา หรือบางทีเก็บเงินดาวน์ไม่พอ แต่ก็ไม่อยากปรับเปลี่ยนเป้าหมาย แล้วธนาคารหรือสถาบันการเงินใจดีปล่อยกู้วงเงินเต็มจำนวน หรือให้วางดาวน์ไม่ต้องเยอะ ก็อาจซื้อบ้าน ซื้อรถ ได้ตามฝัน แต่สิ่งที่ตามมา เมื่อได้วงเงินกู้มากขึ้น ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น จึงต้องวางแผนให้ดี
แต่สำหรับคนที่ทำแบบประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนแล้วผลออกมาว่า ตัวเรารับความเสี่ยงได้ต่ำ ไม่ได้หมายความว่า ต่อจากนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ อย่างพันธบัตร หุ้นกู้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องจัดพอร์ต หรือไม่ต้องแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นเลย เพราะแม้ว่าจะรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็สามารถลงทุนในหุ้นได้ โดยควรมีในพอร์ตไม่เกิน 10-15% ของเงินลงทุน
ไม่มีเวลา
อีกเหตุผลหนึ่งของการลงทุนที่ไม่จำเป็นต้องจัดพอร์ต นั่นคือ “ไม่มีเวลา” ขยายความให้ชัดเจนขึ้น คือ “ไม่มีเวลาลงทุนนานมากนัก”
เช่น วางแผนไปเที่ยวในอีก 6 เดือน หรือ 1 ปี แม้ดูเป็นเป้าหมายที่อาจไม่ได้สำคัญมากนักหากเทียบกับเป้าหมายการเงินอื่นๆ ในชีวิต แต่เมื่อมีระยะเวลาเก็บออมไม่นานมาก ก็ควรลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือหากมีเงินก้อนเตรียมไว้พอแล้วสำหรับทริปท่องเที่ยวที่วางแผนไว้ สามารถเก็บออมหรือพักเงินในกองทุนรวมที่กำหนดอายุกองทุน เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งเราจะรู้ผลตอบแทนประมาณการตั้งแต่วันที่ซื้อกองทุน
สำหรับผู้ลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จัดว่า “ไม่มีเวลา” เช่นกัน แต่อาจเรียกว่า “ไม่มีเวลาติดตามตลาด” เช่น ทำธุรกิจส่วนตัว เวลาหมดไปกับการดูแลกิจการ จนไม่มีเวลาติดตามการลงทุน หรือปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอด้วยตัวเอง กรณีเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องจัดพอร์ต ยังสามารถจัดพอร์ตได้ แต่เลือกเป็น “พอร์ตลงทุนสำเร็จรูป” นั่นเอง
พอร์ตลงทุนสำเร็จรูป หน้าตาเป็นอย่างไร … ก็คือ กองทุนรวมผสมที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งกองทุนจะกำหนดไว้ในนโยบายการลงทุนว่า สามารถลงทุนหุ้นได้ในสัดส่วนเท่าไร เช่น มีนโยบายลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% หรือ 55% ของเงินลงทุน ที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้
กองทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า ผู้จัดการกองทุน บริหารเงินลงทุน เลือกสินทรัพย์ลงทุน ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ ผู้ลงทุนก็สามารถเลือกได้เลยว่า อยากให้พอร์ตลงทุนของตัวเองเป็นแบบไหน เลือกให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือเป้าหมายของตัวเรา เช่น เก็บเงินเกษียณ มีเวลาเก็บเงินนานเป็นสิบปี แบบนี้เสี่ยงมากหน่อยก็ได้ ให้มีหุ้นในพอร์ตถึง 55% ของเงินลงทุนก็ยังไหว
สุดท้าย ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคนเรา มักไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเดียว เมื่อทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง ก็อยากเก็บเงินไปเที่ยว เมื่ออยากมีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง ก็ต้องเริ่มวางแผนเก็บเงินดาวน์ เมื่อแต่งงานมีครอบครัว ก็เริ่มวางแผนเก็บเงินส่งลูกเรียน หรือเริ่มต้องวางแผนระยะยาวอย่างเก็บเงินเกษียณ การจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อดูว่ามีเวลาเก็บเงินแค่ไหน เป้าหมายไหนไม่จำเป็นต้องจัดพอร์ต แล้วเป้าหมายไหนควรจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงของเงินลงทุน
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com