จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ไตรมาสแรก 2560 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 78.6% ของจีดีพี หรือประมาณ 11.50 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3.45 แสนล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงมาก สอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “พฤติกรรมการออมและภาวะหนี้สินของประชาชนในช่วงครึ่งปีแรก 2560” ของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-20 พฤษภาคม 2560 จากประชาชนที่มีรายได้ทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง ซึ่งผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าคนไทยมีเงินออมน้อย และมีหนี้สินจำนวนมาก
ส่วนใหญ่ รายได้เท่ากับ-น้อยกว่ารายจ่าย
จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนรายได้กับรายจ่ายในแต่ละเดือนของประชาชนส่วนใหญ่ 45.15% มีรายได้ พอ ๆ กับรายจ่าย 31.50% มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย มีเพียง 21.85% ที่มีรายได้มากกว่ารายจ่าย โดยรายจ่ายเฉลี่ยของประชาชนในแต่ละเดือนโดยประมาณ พบว่า มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน 21,606.75 บาท ต่ำสุด 200 บาท และสูงสุด 900,000 บาท และเมื่อพิจารณาสัดส่วน พบว่า ประชาชน 38.45% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท 25.55% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 10,001-20,000 บาท 11.65% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 20,001-30,000 บาท 4.20% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 30,001-40,000 บาท 7.60% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 40,001 บาทขึ้นไป
คนไทยเกือบครึ่งไร้เงินออม
พฤติกรรมการออมเงินไว้ใช้ของประชาชนในปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่ 51.65% มีเงินออม ขณะที่ 48.30% ไม่มีเงินออมไว้ใช้ โดยประชาชนที่มีเงินออมส่วนใหญ่ 50.05% คิดว่าเงินออมเพียงพอไว้ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรือความมั่นคงต่อชีวิต ขณะที่ 41.92% ระบุว่าไม่เพียงพอ
สำหรับวัตถุประสงค์ในการออมเงินของประชาชนที่มีเงินออม พบว่า ประชาชนที่มีเงินออมไว้ใช้นั้น ส่วนใหญ่ 48.79% เป็นการออมเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เพื่อการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ รองลงมา 38.33% ออมเพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคต 26.91% ออมเพื่อไว้ให้บุตรหลาน รวมถึงการศึกษาของบุตรหลานด้วย 12.58% ออมเพื่อใช้ในระยะยาวช่วงหลังเกษียณอายุ 10.94% ออมเพื่อซื้อสินค้า การบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 9.87% ออมเพื่อการลงทุนในกองทุนรวม หุ้น สลากออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ประกันชีวิต เป็นต้น 8.13% ออมเพื่อการลงทุนสำหรับประกอบอาชีพ การดำเนินธุรกิจ กิจการ การเกษตร การค้าขาย 3.29% ออมเพื่อชำระหนี้สิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่าผ่อนดอกเบี้ย จ่ายภาษี ฯลฯ 3.29% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ออมเพื่อการศึกษาของตนเอง ออมเพื่อสร้าง ซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและออมเพื่อไว้ทำบุญ
68.10% มีหนี้สิน ส่วนใหญ่หนี้ 1 แสนบาทขึ้นไป
ด้านภาวะการมีหนี้สินของประชาชนในปัจจุบัน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 68.10% มีหนี้สิน ขณะที่ 31.85% ไม่มีหนี้สิน ขณะที่หนี้สินโดยรวมของประชาชนที่มีหนี้สินในปัจจุบัน เฉลี่ยประมาณ 565,302.88 บาท ต่ำสุด 1,000 บาท และสูงสุด 500 ล้านบาท เมื่อพิจารณาสัดส่วน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 33.26% มีหนี้สินโดยรวมมากกว่า 100,000 บาทขึ้นไป รองลงมา 4.26% ประมาณไม่เกิน 10,000 บาท 4.19% ประมาณ 10,001-20,000 บาท 3.89% ประมาณ 40,001-50,000 บาท 2.94% ประมาณ 20,001-30,000 บาท ขณะที่ประชาชนบางส่วน 2.13% มีหนี้สินโดยรวมเป็นจำนวนหลักพัน 8.88% มีหนี้สินหลักหมื่น 16.45% มีหนี้สินหลักแสน และ 8.44% มีหนี้สินหลักล้าน
โดยหนี้สินส่วนใหญ่ 59.47% เกิดจากการซื้อ/ผ่อน/ชำระสินค้า การบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค รองลงมา 35.46% เกิดจากการลงทุนในการประกอบอาชีพการดำเนินธุรกิจ กิจการ การเกษตร การค้าขาย 14.24% เกิดจากการเลี้ยงดูบุตรหลาน 11.89% เกิดจากการเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว (พ่อ แม่ บุตร หลาน ญาติ คู่สมรส) 6.17% เกิดจากการสร้าง ต่อเติม ปรับปรุง ที่อยู่อาศัย บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ 3.96% เกิดจากชำระหนี้สิน (กู้ยืมเพื่อมาชำระหนี้สิน) 2.94% เกิดจากการศึกษาของตนเอง 2.06% เกิดจากการรักษาพยาบาล 0.66% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ หนี้สำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน การค้ำประกันให้กับผู้อื่น ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีความ

บริหารจัดการหนี้
กว่า 61% บริหารจัดการหนี้ด้วยการชำระให้ตรงเวลา
ส่วนวิธีการบริหารจัดการหนี้สินของประชาชนที่มีหนี้สิน พบว่า ส่วนใหญ่ 61.01% จะบริหารจัดการหนี้สิน ด้วยการชำระยอดค้างให้ตรงต่อเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ย หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ รองลงมา 19.46% ไม่สร้างหนี้สินเพิ่มเติม 14.17% ลดค่าใช้จ่าย 13.29% หาช่องทางการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น เช่น ทำอาชีพเสริม หารายได้พิเศษ ทำงานล่วงเวลา 10.50% เลือกแบ่งงวดจ่ายให้มากครั้ง แต่จ่ายจำนวนเงินต่อครั้งให้น้อย ๆ 7.27% ผลัดการชำระในงวดถัดไป 6.09% เลือกแบ่งงวดจ่ายให้น้อยครั้ง แต่จ่ายจำนวนเงินต่อครั้งให้มาก ๆ 5.80% ชำระยอดค้างให้มากกว่ายอดจ่ายขั้นต่ำ 4.26% ขาย จำนำ จำนอง ทรัพย์สิน หรือกู้เงินยืมเงินจากที่อื่นมาชำระ 9.10% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ชำระล่วงหน้า ชำระรายปี ชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นก่อน หรือจ่ายเท่าที่มี ทั้งนี้ ความสามารถในการชำระหนี้สินของประชาชนที่มีหนี้สิน (จากคะแนนเต็ม 10) พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.72 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับมาก
ครู-Gen Y ครองแชมป์หนี้สูง
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาการกู้ยืม และหนี้สินล้นพ้นตัวสูง ประกอบกับความสามารถในการออมอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศซึ่งพึ่งพาการจับจ่ายใช้สอยลดลง ซึ่งวิธีแก้ไม่ใช่การปฏิเสธการเป็นหนี้ แต่ต้องรู้จักสร้างสมดุลในการก่อหนี้ มีวินัยในการจับจ่ายใช้สอย โดยไม่ควรมีหนี้เกิน 40% ของรายได้
ทั้งนี้ กลุ่มคุณครูเป็นกลุ่มที่น่ากังวลมากที่สุด เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ จนปัจจุบันมีหนี้เฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนไทย 2-3 เท่า และอีกกลุ่มคือกลุ่มคน Gen Y ซึ่งจากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า ประชาชนในช่วงอายุ 22-37 ปี มีหนี้เกินค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 บาท โดย 50% ของประชาชนอายุ 30 ปี มีหนี้เร็ว หนี้มาก และหนี้นาน โดยยอดของผู้ที่ค้างชำระในกลุ่มดังกล่าว จะมี 1 ใน 5 ที่เป็นหนี้เสีย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ความรู้ทางการการเงิน การบริหารจัดการหนี้ ทางเครดิตบูโร จึงได้เปิดเว็บไซต์ www.มันหนี้.com หรือ www.thaidebtmoney.com รวมทั้งเฟสบุ๊ค www.facebook.com/thaidebtmoney ด้วยแนวคิดง่าย ๆ คือ “หนี้เป็นได้ เรียนรู้ได้ ด้วยความเข้าใจ” เพื่อให้ข้อมูลกับกลุ่มประชาชนที่มีภาระหนี้ ทั้งเรื่องการฟื้นฟูสุขภพการเงิน กฎหมายคลายหนี้ โปรแกรมตรวจสุขภาพหนี้ และเรียนรู้เคล็ดลับเรื่องหนี้อย่างชาญฉลาดจากกูรู
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน