เมื่อวานนี้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของคนไทยที่พบว่าป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น จึงได้เตรียมยกระดับและผลักดันให้การลดอาหารหวาน-มัน-เค็ม ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นแม่งาน
ปัญหาใหญ่คนไทยชอบกินเค็ม
คนส่วนใหญ่มักทราบดีว่าการรับประทานอาหารหวานและมัน ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วการรับประทานเค็มมาก ๆ ก็มีอันตรายไม่แพ้กัน โดยพบว่า คนไทยรับประทานเกลือจากเครื่องปรุงรสมากถึง 10.8 กรัม/วัน สูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าไม่ควรเกิน 5 กรัม/วัน หรือเทียบได้เท่ากับโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม/วัน สรุปคือคนไทยรับประทานโซเดียมสูงกว่า 1.8 เท่าของข้อกำหนดปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน
ส่วนใหญ่คนไทยได้รับโซเดียมจากเครื่องปรุงรสที่เติมในระหว่างการปรุงประกอบอาหารมากถึง 71% เครื่องปรุงรส เทียบปริมาณ 1 ช้อนชามีปริมาณโซเดียม ดังนี้ เกลือ 2,000 มิลลิกรัม ผงปรุงรส 500 มิลลิกรัม ผงชูรส 490 มิลลิกรัม ซีอิ๊วขาว 460 มิลลิกรัม น้ำมันหอย 450 มิลลิกรัม น้ำปลา 400 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 400 มิลลิกรัม ซอสพริก 220 มิลลิกรัม ซอสมะเขือเทศ 140 มิลลิกรัม
ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ น้ำปลาหวาน 1 ถ้วยใส่กุ้งแห้ง มีโซเดียม 5,900 มิลลิกรัม ปลาเค็ม 100 กรัม มีโซเดียม 5,327 มิลลิกรัม กุ้งแห้งแบบมีเปลือก 100 กรัม มีโซเดียม 3,240 มิลลิกรัม ต้มย้ำกุ้งน้ำข้น 1 ชาม มีโซเดียม 1,700 มิลลิกรัม ข้าวผัดกระเพราไข่ดาว 1 จาน มีโซเดียม 1,200 มิลลิกรัม ส้มตำปูไทย 1 จาน มีโซเดียม 1,200 มิลลิกรัม
ข้าวมันไก่ 1 จาน มีโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม ผัดไทย 1 จาน มีโซเดียม 1,100 มิลลิกรัม ผักกาดดอง 1 กระป๋อง มีโซเดียม 1,720 มิลลิกรัม มะละกอเค็มอบแห้ง มีโซเดียม 4,460 มิลลิกรัม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีโซเดียม 1,100-1,800 มิลลิกรัม/ซอง ไข่เค็ม มีโซเดียม 480 มิลลิกรัม/ฟอง ไส้กรอกหมู 1 ไม้ มีโซเดียม 350 มิลลิกรัม
คนป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กว่า 3 แสนคน
ปัจจุบันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communication Diseases หรือ NCDs) ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง และโรคอ้วนลงพุง มีอัตราการเจ็บป่วยคิดเป็น 50% สูงกว่าโรคติดต่อถึง 3 เท่า ซึ่งล้วนเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง เช่น การรับประทานหวาน มัน เค็มจัด รวมถึงการดำเนินชีวิตที่ขาดความสมดุล จากรายงานภาวะโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทยในปี 2556 พบว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคกลุ่มนี้ประมาณ 18.25 ล้านคน เสียชีวิตถึง 349,096 ราย หรือ 75% ของการเสียชีวิตของประชากรไทยทั้งหมด ทำให้ประเทศต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยถึงปีละ 198,152 ล้านบาท คิดเป็น 2.2% ของรายได้ประชาชาติ
พระสงฆ์อาพาธด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น
อีกกลุ่มหนึ่งที่มีแนวโน้มป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้นคือพระสงฆ์ จากสถิติของโรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ ปี 2558 พบว่า มีพระสงฆ์ถึง 20% ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีอาการของโรคไต และมีพระสงฆ์อาพาธเข้ารักษาด้วยโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็นลำดับต้น ๆ สาเหตุมาจากอาหารที่พุทธศาสนิกชนนำไปทำบุญถวายพระสงฆ์ มักเป็นอาหาร ที่มีไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ขนมหวานต่างๆ นอกจากนี้ พระสงฆ์บางรูปยังสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเกินวันละ 2 ขวด และฉันอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ จึงทำให้กระทบต่อสุขภาวะของพระสงฆ์และนำไปสู่การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ
สอดคล้องกับการศึกษาวิจัยปัญหาโภชนาการพระสงฆ์ในเมือง ของคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2554-ปัจจุบัน พบว่า พระเป็นโรคอ้วน และเป็นโรคเรื้อรัง สูงถึง 45% โดยเฉพาะพระที่สูงวัย มีไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน เนื่องจากอาหารที่ได้รับไม่ค่อยถูกหลักโภชนาการ มีการปนเปื้อนแบคทีเรียที่ทำให้ท้องร่วง เกือบ 50% และอาหารที่นำมาใส่บาตรส่วนใหญ่มีไขมันสูง รสจัด เน้นของทอด ของหวาน มีโปรตีน ผักและปลาน้อยเกินไป ประกอบกับพระสงฆ์ในชุมชนเมือง ออกกำลังกายน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเดินบิณฑบาต กวาดลานวัด เดินจงกรม และกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายอื่นๆ
สธ. ออกประกาศเพิ่มชนิดอาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ
กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานหลักทางด้านสุขภาพโดยรวมของคนในประเทศ ขยับตัวเป็นองค์กรแรกโดยการออกประกาศเพิ่มชนิดอาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ และค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมแบบจีดีเอ (Guideline Daily Amounts) หรือฉลากหวานมันเค็ม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายที่มุ่งเน้นลดการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม เพื่อช่วยป้องกันปัญหาโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยอาหารที่อยู่ในข่ายของประกาศฯ ฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม 15 ชนิด ได้แก่ 1. อาหารขบเคี้ยว 2. ช็อกโกแลต และผลิตภัณฑ์ในทำนองเดียวกัน 3. ผลิตภัณฑ์ขนมอบ 4. อาหารกึ่งสำเร็จรูป และ 5. อาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจำหน่าย
กินจืดยืดชีวิต วิธีง่าย ๆ ในการลดโรค
การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการรับประทานและการใช้ชีวิตของประชาชนต้องค่อย ๆ ปรับไป ด้วยการลดหวาน มัน เค็มลง ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ถึง 80% โดยทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้แนะนำวิธีการรับประทานอาหารให้มีประโยชน์โดยใช้วิธี “กินจืด ยืดชีวิต” โดยให้รับประทานอาหารอร่อยรสกำลังดีเพียง 1 มื้อ และรับประทานอาหารรสจืดอีก 2 มื้อ ในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณพลังงานสูงสุดที่ร่างกายรับได้ไม่ควรเกิน 1,500-2,000 กิโลแคลอรี่/วัน ในผู้หญิง และ 2,000-2,500 กิโลแคลอรี่/วัน ในผู้ชาย
นอกจากลดหวาน มัน เค็ม ลงแล้ว ยังต้องรับประทานผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม และออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ควบคู่ไปด้วยจึงจะทำให้ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน