พ.ร.บ.ไซเบอร์ ผ่านฉลุย : ต้องตื่นตระหนกหรือตื่นตัว

28 ก.พ. 2562

ในห้วงก่อนการเลือกตั้งดูเหมือนภาครัฐก็ยังคงตั้งใจทำงานอย่างต่อเนื่อง? โดยเฉพาะการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ พ.ร.บ.ไซเบอร์

พ.ร.บ.ไซเบอร์ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนั่งแท่นเป็นรัฐบาลพยายามมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2558 แม้จะเต็มไปด้วยเสียงคัดค้านแต่ล่าสุด (28 กุมภาพันธ์ 2562) ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็ได้รับการเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 133 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง และงดออกเสียง 16 เสียง ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย

ทำไมต้องมี พ.ร.บ.ไซเบอร์

เหตุผลสำคัญของภาครัฐที่ตั้งผลักดัน พ.ร.บ. ฉบับนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ดังนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเข้ามาดูแลการดำเนินงานภารกิจให้มีประสิทธิภาพ การดูแลความปลอดภัย ถูกต้อง คล่อง และรวดเร็ว เป็นมาตรฐานสากล โดยมีการปรับแก้หลายจุดให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้มีคณะกรรมการที่กะทัดรัด คล่องตัวในการดำเนินการ จึงปรับโครงสร้างกรรมการ ให้กระชับ ไม่ซ้ำซ้อน เพื่อสามารถดำเนินการป้องกันหรือรับมือภัยไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที

Cyber law

ที่มา: www.senate.go.th

 

8 ประเด็นสำคัญ พ.ร.บ.ไซเบอร์

  1. นิยามภัยคุกคามไซเบอร์ตีความกว้างครอบคลุม “เนื้อหา” บนโลกออนไลน์
  2. เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอข้อมูล เอกสาร หรือสำเนาข้อมูล ที่อยู่ในการครอบครองของผู้อื่นได้เพื่อประโยชน์ในการทำงาน
  3. เจ้าหน้าที่รัฐสามารถตรวจค้นสถานที่ ค้นคอมพิวเตอร์ เข้าถึงข้อมูล เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เจาะระบบ ยึด อายัดคอมพิวเตอร์ หรือทำสำเนาข้อมูลได้
  4. เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เมื่อเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ร้ายแรง
  5. เจ้าหน้าที่รัฐสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องยื่นขอหมายศาลในกรณีเร่งด่วน
  6. การใช้อำนาจในการยึด ค้น เจาะ หรือขอข้อมูลใด ๆ ไม่สามารถขออุทธรณ์เพื่อยับยั้งได้
  7. กรณีที่เกิดภัยคุกคามไซเบอร์ในระดับวิกฤติ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ
  8. หากผู้ใดฝ่าฝืนและไม่ปฏบัติตามคำสั่งจะมีทั้งโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท และโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี

เปรียบเทียบสิงคโปร์กับไทย ไร้การคานอำนาจ

แม้ว่า พ.ร.บ.ไซเบอร์ จะถอดแบบมาจากกฎหมาย Cyber Security Act 2018 ของสิงคโปร์ แต่เมื่อถูกนำมาปรับใช้ในการเขียนกฎหมายของไทยกลับมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหากว่า 80% และให้อำนาจเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ในการออกคำสั่งใด ๆ แล้วผู้ได้รับผลกระทบไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ในขณะที่กฎหมายแบบเดียวกันของสิงคโปร์กำหนดให้ผู้ให้บริการสามารถสามารถอุทธรณ์คำสั่งได้

นอกจากนี้ หากเทียบกับหลักการของกลุ่มประเทศที่อยู่ในองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งในปี 2555 OECD มีรายงานแนะนำในการออกกฎหมายในเรื่อง Cyber Security ต้องคำนึงถึงไม่เพียงแต่ความมั่นคงของชาติอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงภาคประชาชน ภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจด้วย แต่ร่างกฎหมายไทยกลับเน้นไปที่หลักการความมั่นคงของชาติกับความสงบเรียบร้อยมากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ ควรเน้นที่ความร่วมมือของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมากกว่าจะมีการรวมอำนาจไปที่หน่วยงานเดียว

Business Man Hands Typing Laptop Concept

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็น พ.ร.บ. ที่น่าตื่นตระหนกเนื่องจากสร้างความกังวลว่าจะทำให้ผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์ขาดความเป็นส่วนตัว เป็นการเปิดช่องให้เกิดการกลั่นแกล้ง และใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการปลุกสังคมให้ตื่นตัวในเรื่องของพฤติกรรมในการใช้สื่อออนไลน์ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มในการใช้เพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น (Cyberbullying) มากขึ้น เชื่อว่าหากมีสติและระมัดระวังในการใช้สื่อออนไลน์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วคงต้องจับตาดูกันต่อไปในขั้นการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่ารูปร่างหน้าตาของ พ.ร.บ.ฉบับนี้จริง ๆ จะออกมาในรูปแบบไหน

ติดตามทุกเรื่องราวเกี่ยวกับอสังหาฯ โดยสามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน หรือดาวน์โหลดรายงานดัชนีอสังหาริมทรัพย์และรายงานภาพรวมตลาดอสังหาฯ จากเรา เพื่อช่วยเพิ่มมุมมองในทุกมิติของการซื้อ – ขาย – เช่า 

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

‘สมาร์ทโฮม’ หมัดเด็ดอสังหาฯ ในยุค 4.0

การแข่งขันในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเปลี่ยนไปในยุค 4.0 ที่ผู้ประก

อ่านต่อ12 ก.พ. 2562