ส่อง 6 มิกซ์ยูสที่น่าจับตา ในปี 63 และอนาคต

9 ม.ค. 2563

ผู้ประกอบการปรับตัวแก้เกมราคาที่ดินแพง ผุดโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ที่จะเข้ามามีบทบาทในตลาดอสังหาฯ ไทยมากขึ้น พร้อมจับตา 6 โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เตรียมเปิดตัวนับตั้งแต่ปี 2563-2569

ปัจจุบันเนื่องจากราคาที่ดินในกรุงเทพมหานครตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและพื้นที่ใจกลางเมือง โดยเฉพาะย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ซึ่งมีพื้นที่เหลือค่อนข้างน้อย และราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยพบว่า ที่ดินบางแปลงในทำเล CBD มีการซื้อขายกันสูงกว่า 3.1 ล้านบาท ส่งผลให้การพัฒนาอสังหาอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

Subscription Banner for Article

เทรนด์การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ จึงเป็นกระแสที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายงาน DDproperty Property Market Outlook 2020 ซึ่งมองว่ารูปแบบอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตจะถูกพัฒนาเป็นแบบมิกซ์ยูสมากขึ้น เพื่อให้การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด

สำหรับรูปแบบของโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส ภายในโครงการจะมีทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม และอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม อยู่ภายในโครงการเดียวกัน โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมามีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการแล้ว และอยู่ระหว่างการการก่อสร้างหลายแห่ง

โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่จะอยู่ในย่าน CBD อาทิ สีลม สาทร สุขุมวิทตอนต้น และเพชรบุรี ส่วนพื้นที่นอก CBD จะอยู่ในทำเลบางนา-ตราด ศรีนครินทร์ และแจ้งวัฒนะ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่น่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ ได้แก่ ไอคอนสยาม, สิงห์คอมเพล็กซ์ และสามย่านมิตรทาวน์

 

6 โครงการมิกซ์ยูสน่าจับตา

โดย 6 โครงการมิกซ์ยูสที่ถูกจับตามองและเตรียมเปิดให้บริการนับตั้งแต่ปี 2563-2569 มีดังนี้

 

1. แบงค็อก มอลล์ (Bangkok Mall)

Bangkok Mall perspective by BOIFFILS

หนึ่งในโครงการขนาดใหญ่จากเดอะมอลล์กรุ๊ป บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ เป็นโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงยังเป็นหนึ่งในศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย มูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาท บนทำเลบางนา ติดถนนสุขุมวิท

ภายในโครงการ ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต แบงค็อก อารีนา ฮอลล์ ความจุ 16,000 ที่นั่ง สวนสนุก สวนน้ำ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ อาคารที่พักอาศัย 3 อาคาร อาคารสำนักงานและโรงแรม สถานศึกษา สถานีขนส่งผู้โดยสารสายตะวันออก

รูปแบบโครงการเป็นแบบ City within the City หรือเมืองในเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยพื้นที่โครงการมากกว่า 650,000 ตารางเมตร เพื่อให้เป็นศูนย์กลางแห่งความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุด ภายในปี 2563 คาดว่าจะเปิดให้บริการในเฟสแรกได้ ซึ่งเป็นส่วนของอาคารสูง 47 ชั้น

 

2. วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (One City Centre)

One City Centre-Raimond land

โครงการขนาดใหญ่ของ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งร่วมกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด จากญี่ปุ่น ความสูง 61 ชั้น บนถนนเพลินจิต ขนาดที่ดิน 6 ไร่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเอมบาสซี่ อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเพลินจิต ซึ่งถือเป็นทำเลทอง

ภายในโครงการมีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 61,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน 92% และพื้นที่ค้าปลีกประมาณ 8% ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งสามารถตอบสนองและตรงกับความต้องการของหน่วยงานหรือองค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาสำนักงานแห่งใหม่

นอกจากนี้ยังสามารถรองรับผู้ประกอบการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางได้ เพราะมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม โดยมีตั้งแต่ขนาด 84 ตารางเมตร ไปจนถึง 512 ตารางเมตร คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2565

 

3. เดอะ ฟอเรสเทียส์ (The Forestias)

2 - The Forestias

โครงการเมืองแห่งใหม่โดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC บนที่ดินขนาด 300 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.7 มูลค่าโครงการกว่า 125,000 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

จุดเด่นของโครงการคือ ทุกองค์ประกอบของโครงการถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยการออกแบบโครงการยังได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดใน T.H. Chan School of Public Health ด้วย พร้อมผืนป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเอาป่ามาไว้ในโครงการ โดยเริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของโครงการ รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันของคนหลายเจเนอเรชั่น

ภายในโครงการประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม รวมถึงพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้สูงวัย โรงแรมระดับ 5 ดาว และศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ โครงการคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565

 

4. เดอะ ปาร์ค (The PARQ)

The PARQ

โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบมิกซ์ยูสสุดล้ำและทันสมัย พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารงานโดยบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท บนอยู่หัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

คอนเซ็ปต์ในการดีไซน์โครงการ ได้แก่ Life Well Balanced การคำนึงถึงสภาพแวดล้อม strategic Location ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี Effortless Connected เชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวก และ Sustainable Future ลดพลังงานในอาคาร ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หมุนเวียนแทนเน้นความยั่งยืนเพื่ออนาคต

ภายในโครงการประกอบไปด้วยพื้นที่สำนักงานเกรดเอ 60,000 ตารางเมตร พื้นที่ร้านค้าปลีกระดับพรีเมียม ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์อาหาร บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร

นอกจากนั้นยังมีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งมากกว่า 7,000 ตารางเมตร และสวนลอยฟ้ากลางแจ้งขนาดพื้นที่รวมกว่า 3,400 ตารางเมตร โดยเปิดเฟสแรกช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา คาดว่าจะเสร็จเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการปี 2566

 

5. ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park)

Dusit Central Park

โรงแรมดุสิตธานีเดิมจะถูกพัฒนาใหม่ให้เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ บริเวณหัวมุมถนนพะราม 4 ตัดถนนลีลมตรงข้ามกับสวนลุมพินี ภายใต้การร่วมทุนของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าขึ้นเป็นแลนด์มาร์กอีกหนึ่งแห่งของกรุงเทพฯ

คอนเซ็ปต์ในการดีไซน์โครงการเพื่อคนกรุงเทพฯ ใน 4 ด้าน คือ Here for Heritage & Innovation นำการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมผสานนวัตกรรมมาใช้ในโครงการ Here for Unrivalled Connectivity เป็นโครงการมิกซ์ยูสเดียวในกรุงเทพฯ ที่เชื่อมโยงทุกย่านสำคัญและระบบคมนาคมทุกระนาบของกรุงเทพฯ Here for a Lush Quality of Life เพื่อชีวิตคุณภาพใกล้ชิดธรรมชาติ โดยอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดหรือปอดของกรุงเทพฯ อย่างสวนลุมพินี

โดดเด่นด้วยการออกแบบเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย ผสานเข้ากับมาตรฐาน แบ่งเป็น 3 อาคาร โดยมีความสูง 40 ชั้น 78 ชั้นและ 46 ชั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วย โรงแรมดุสิตธานีแห่งใหม่ อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก งบลงทุนโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท มีแผนที่จะเปิดส่วนที่เป็นศูนย์การค้าและโรงแรมดุสิตธานีโฉมแห่งในปี 2564-2565 และจะเปิดให้บริการทั้งโครงการได้ในปี 2567

 

6. วัน แบงค็อก (One Bangkok)

โครงการ “One Bangkok” (วัน แบงค็อก) โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย

แลนด์มาร์กแห่งใหม่ระดับโลก จากการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าการลงทุนโครงการมากกว่า 120,000 ล้านบาท นับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย ส่งเสริมให้เป็นเมืองศูนย์กลางของอาเซียนและตอบโจทย์ทุกความต้องการ

บนพื้นที่โครงการ 104 ไร่ บริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์เก่า ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี แบ่งเป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง 50 ไร่ ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ 5 อาคาร โรงแรมหรูที่มุ่งเน้นบอกโจทย์ไลฟ์สไตล์ 5 โรงแรม ที่พักอาศัยระดับ Ultra Luxury 3 อาคาร ร้านค้าปลีกและพื้นที่ทำกิจกรรมที่หลากหลาย

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่กิจกรรมและศิลปะวัฒนธรรมขนาด 10,000 ตารางเมตร และทางเดินที่กว้างกว่า 40 เมตร และพื้นที่ร่มรื่นล้อมรอบโครงการ ตามแผนคาดว่าเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2566 และก่อสร้างทั้งโครงการจบในปี 2569

 

จับตาภาวะเสี่ยงอุปทานล้นตลาด

จากรายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ (EIC) พบว่า การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุปทานจากโครงการมิกซ์ยูส ในช่วงปี 2563-2566 อาจเป็นหนึ่งในปัจจุัยหลักที่กดดันให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น และนำมาสู่ความเสี่ยงอุปทานส่วนเกินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะพาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ

โดยจะมีพื้นที่มิกซ์ยูสเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้น 9 แสนตารางเมตร (โดยเป็นอุปทานจากมิกซ์ยูสถึง 4 แสนตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่ย่าน CBD) หรือประมาณ 40% ของอุปทานใหม่ของธุรกิจพาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ล้านตารางเมตร ในช่วงปี 2563-2566

ขณะที่คาดว่าอุปสงค์ใหม่ต่อธุรกิจพาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเดียวกันจะอยู่ที่ราว 1 ล้านตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากภาวะอุปทานส่วนเกินจากการขยายตัวดังกล่าว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีโครงการมิกซ์ยูสที่จะเข้าสู่ตลาด

 

อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาโครงการเพื่อการอยู่อาศัยหรือเพื่อการพาณิชยกรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้คุ้มค่าเต็มศักยภาพประโยชน์ใช้สอยอีกต่อไป จึงเป็นโอกาสและความท้าทายของอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่อย่างมิกซ์ยูส ซึ่งในอนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าโครงการมากกว่า 10,000 ล้านบาท เปิดตัวอีกนับ 10 โครงการ โครงการเหล่านี้จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริงหรือไม่ คงต้องมาลุ้นกัน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

มณีรัตน์ สุบิน
Sep 21, 2025
ภาษีที่ดินค่ะ
เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ