ครม. อนุมัติลดเก็บเงิน "ประกันสังคม" เหลือ 75 บาท

26 ม.ค. 2564

ยืดเวลา ลดเก็บเงินสมทบ ประกันสังคม ต่ออีก 3 เดือน

ครม. อนุมัติการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกันตนโดยมีการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นเวลา 3 เดือน (มกราคม-มีนาคม 2564) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่

โดยปรับลดอัตราเงินสมทบ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างและผู้ประกันตน โดยลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 3 หรือจากอัตราสมทบสูงสุด 750 ลดเหลือเพียง 450 บาท และมาตรา 39 ลดอัตราเงินสมทบจาก 432 บาท เหลือ 278 บาทนั้น

ล่าสุด ครม. อนุมัติให้ปรับลดอัตราเงินสมทบลงอีก เหลือเพียงร้อยละ 0.5 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่งผลให้ผู้ประกันตนจะมีเงินเหลือจากการลดส่งเงินสมทบ

Subscription Banner for Article

สรุปอัตราเงินสมทบต้องจ่ายเท่าไหร่

1. ลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 โดยนายจ้างจ่ายลดลงเหลือร้อยละ 3 ส่วนผู้ประกันตนจ่ายลดลงเหลือร้อยละ 0.5 จะต้องเสีย 75 บาท/เดือน แทน 750 ต่อเดือน (คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท) เป็นระยะเวลา 2 เดือน (กุมภาพันธ์-มีนาคม 2564)

ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม จากเดิมเดือนละ 432 บาท เหลือเดือนละ 38 บาท เป็นระยะเวลา 2 เดือน (กุมภาพันธ์-มีนาคม 2564)

2. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้รัฐบาล นายจ้างและผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีคลอดบุตร ฝ่ายละร้อยละ 1.05

– การจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 1.85 และรัฐบาลปรับเป็นร้อยละ 1.45

– การจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 0.1 และรัฐบาลปรับเป็นร้อยละ 0.25

ผู้ประกันตนจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมน้อยลง

3. ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ให้รัฐบาล นายจ้างและผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีคลอดบุตร ฝ่ายละร้อยละ 1.5

– การจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนฝ่ายละร้อยละ 3 และรัฐบาล ร้อยละ 1

– การจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ 0.5 และรัฐบาลร้อยละ 0.25

อย่างไรก็ตาม การลดอัตราเงินสมทบจะส่งผลดีต่อผู้ประกันตนและนายจ้าง โดยช่วยให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินไปใช้จ่ายเสริมสถาพคล่อง ประมาณคนละ 460-900 บาท เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็นมูลค่ารวม 8,248 ล้านบาท ในส่วนของนายจ้าง จะทำให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบลดลง รวม 7,412 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและช่วยรักษาการจ้างงานต่อไปได้

 

แจงรายละเอียดปรับเพิ่มค่าคลอดบุตร-สงเคราะห์บุตร

สำนักงานประกันสังคม ได้ปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนกรณีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับผู้ประกันตน โดยปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500 บาท จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท ดังนี้

1.อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท

2.อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท

3.อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท

4.อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท

5.อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการปรับเพิ่มค่าคลอดบุตรเป็น 15,000 บาท จากเดิม 13,000 บาท ผู้ประกันตนสามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยผู้ประกันตนไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลใดก็ได้ รวมถึงมีเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง

สำหรับผู้ประกันตนชายที่มีภริยาจดทะเบียนสมรส หรือหญิงซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรสจะได้รับเฉพาะเงินค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย จำนวน 15,000 บาท

 

ให้สิทธิประโยชน์ผู้ว่างงานจากโควิด-19

ครม. ยังเห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการจ่ายเงินเยียวยาในกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง เนื่องจากต้องกักตัวหรือนายจ้างหยุดกิจการตามคำสั่งของราชการ เตรียมพร้อมรองรับผู้ว่างงานจากการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่

โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป

กำหนดนิยามคำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขณะที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ

ทั้งนี้ กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยและหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตราย อันส่งผลให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอัตรา 50% ของค่าจ้างรายวัน ตามมติคณะกรรมการประกันสังคม โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่สั่งปิดพื้นที่ ซึ่งภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทิน จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าวทุกครั้ง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน

ร่างกฎกระทรวงนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนที่อยู่ในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการที่รัฐบาลสั่งปิดกิจการ โดยในเบื้องต้นคาดว่ามีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เช่น สมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และสมุทรสงคราม รวมกันแล้วประมาณ 5.7 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 5,225 ล้านบาท

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

Thatchaporn Laeia
Sep 20, 2025
อยากทราบว่าเดือนเมษายน2564ต้องจ่ายเท่าไหร่ยังช่วยต่อไปมั้ยคะ
Veeชรินทร์ Lสุขคะนอง
Sep 20, 2025
จะไปส่งเงิน
ชลนที สีสังข์
Sep 20, 2025
ไม่เห็นลดเลยครับเดือนนี้บริษัทหัก300
เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

อสังหาฯ ปรับสมดุล โควิด-19 จุดเปลี่ยนดีมานด์คอนโดแผ่ว

New Normal ส่งผลดีมานด์คอนโดเปลี่ยน หลังโควิด-19 ถึงเวลาปรับสมดุล กระตุ้นเรียล

อ่านต่อ10 ส.ค. 2563