REIC เผยตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส Q2/2566 ยอดขายลดลง 32.3%

19 ก.ย. 2566

[PR News] REIC เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบยอดขายได้ใหม่ลดลง 32.3% เฝ้าระวังคอนโดมีหน่วยเหลือขายเพิ่ม 11.2%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานผลสำรวจภาคสนามอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย สำหรับรายไตรมาส 2 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยสำรวจเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า

ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมดมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 3.3% หน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% ขณะที่ยอดขายได้ใหม่จำนวนหน่วยลดลง 32.3% สถานการณ์โดยภาพรวมอยู่ในช่วงที่ต้องเฝ้าระวังโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทโครงการอาคารชุดซึ่งมีหน่วยเหลือขาย เพิ่มขึ้น 11.2%

สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย (แนวราบและอาคารชุด) ปรับตัวลงแรง

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2566 พบว่า

หน่วยที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) 206,246 หน่วย มูลค่า 1,019,318 ล้านบาท ขยายตัว 3.3% และ 5.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 23,080 หน่วย หรือเพียง 11.19% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่า 127,774 ล้านบาท หรือเพียง 12.54% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด

หน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.0% และลดลง 6.6% ตามลำดับ ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 11,224 หน่วย มูลค่า 80,299 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง 7.8% โครงการอาคารชุดจำนวน 11,856 หน่วย จำนวนหน่วยลดลง 27.3% มูลค่าโครงการ 47,475 ล้านบาท  มูลค่าเพิ่มขึ้น 5.9%

ในด้านยอดขายพบว่าในช่วงไตรมาส 2 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวนทั้งสิ้น 15,959 หน่วย มูลค่าโครงการรวม  83,499 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง 32.3% มูลค่าลดลง 28.4%

ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายได้ใหม่ของโครงการอาคารชุดจำนวน 5,909 หน่วย มูลค่าโครงการรวม มูลค่า 24,900 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลง 56.5% มูลค่าลดลง 53.1% และเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 10,050 หน่วย มูลค่า 59,490 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 0.7% มูลค่าลดลง 8.9%

ด้านที่อยู่อาศัยเหลือขายพบว่าไตรมาส 2 ปี 2566 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งสิ้น 190,287 หน่วยเพิ่มขึ้น 8.0% มูลค่า 935,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% แบ่งเป็น อาคารชุด 74,230 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.2% มูลค่า 290,637 ล้านบาท ลดลง 1.3% และบ้านจัดสรรจำนวน 116,057 หน่วย เพิ่มขึ้น 6.1% มูลค่า 645,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8%

สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ

เมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ในไตรมาส 2 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า หน่วยที่มีการเสนอขายเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 126,107 หน่วย มูลค่า 704,672 ล้านบาท ขยายตัว 5.7% และ 13.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยบ้านเดี่ยวมีการขยายตัวของหน่วยเสนอขายมากที่สุด จำนวนทั้งสิ้น 32,947 หน่วย มีอัตราการขยายตัว 15.9% เป็นที่น่าสังเกตว่าทาวน์เฮ้าส์เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทเดียวที่มีจำนวนหน่วยเสนอขายลดลงเล็กน้อย โดยมีจำนวน 69,356 หน่วย ลดลง 0.3%

ในด้านยอดขายใหม่ไตรมาส 2 ปี 2566 ของประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมีจำนวน 10,050 หน่วย ขยายตัว 0.7% และ มูลค่า 59,490 ล้านบาท ลดลง 8.9% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 2.7 แสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบค่อนข้างคงตัวเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปี 2565

ทั้งนี้ พบว่าจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ประเภทโครงการแนวราบทุกประเภทมีอัตราการขยายตัวของจำนวนหน่วยขายได้ใหม่เพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหลังจากโควิด หรือระหว่างปี 2565 ถึงปัจจุบัน โดยอาคารพาณิชย์และบ้านแฝด มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 26.1% และ 25.6% ตามลำดับ

ยกเว้นทาวน์เฮ้าส์มีอัตราการขายได้ใหม่ลดลง 7.5% ในขณะที่บ้านเดี่ยวมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ 3.3% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนหน่วยโครงการเปิดขายใหม่ประเภททาวน์เฮ้าส์ก็ลดลงด้วยเช่นกันโดยลดลง 15.5%

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงหน่วยเหลือขายคงค้างประเภทโครงการแนวราบ กลับพบว่าบ้านเดี่ยวยังมีอัตราหน่วยเหลือขายมากที่สุดโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 17.1% บ้านแฝดมีอัตราหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้น 11.7% และทาวน์เฮ้าส์มีอัตราหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้น 0.4% ในขณะที่อาคารพาณิชย์มีหน่วยเหลือขายลดลง 0.9%

โดยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ พบว่า อัตราดูซับของที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ลดลงจากปีก่อนหน้า ในขณะที่บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเกิดจากมีการเปิดขายโครงการใหม่ และในตลาดมีที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวจำนวนไม่มากนัก

สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด

ตลาดอาคารชุด ในไตรมาส 2 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า หน่วยที่มีการเสนอขายอาคารชุด 80,139 หน่วย มูลค่า 314,646 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง 0.3% และมูลค่าลดลง 8.9% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการอาคารชุดเปิดตัวใหม่สูงถึง 11,856 หน่วย ลดลง 27.3% มูลค่า 47,475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และเมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของอาคารชุดที่เกิดในไตรมาส 2 ปี 2566 จำนวน 5,909 หน่วย  ลดลง 56.5% มูลค่า 24,009 ล้านบาท ลดลง 53.1% ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายจำนวนทั้งสิ้น 74,230 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.2% มูลค่า 290,637 ล้านบาท ลดลง 1.3%

5 ทำเลศักยภาพที่อยู่อาศัยแนวราบ

ผลจากการสำรวจภาคสนามยังได้แสดงให้เห็นทำเลศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูง ประกอบด้วยโซน

1. บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 1,727 หน่วย มูลค่า 9,962 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.5% ต่อเดือน

2. เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 995 หน่วย มูลค่า 3,585 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.3% ต่อเดือน

3. บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 992 หน่วย มูลค่า 5,047 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 1.9% ต่อเดือน

4. เมืองสมุทรสาคร ยอดขาย  933 หน่วย มูลค่า 3,744 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.5% ต่อเดือน

5. ลำลูกกา-ธัญบุรี ยอดขาย 882 หน่วย มูลค่า  3,642 ล้านบาท  และอัตราดูดซับ 1.9% ต่อเดือน

สำหรับทำเลที่อยู่อาศัยแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่

1. บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,811 หน่วย มูลค่า  83,218 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.9% ต่อเดือน

2. บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย  14,689 หน่วย มูลค่า  79,073 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.5% ต่อเดือน

3. ลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 14,501หน่วย มูลค่า  57,010 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.9% ต่อเดือน

4. คลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 13,112 หน่วย มูลค่า  46,477 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.4% ต่อเดือน

5. เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,344 หน่วย มูลค่า 42,653 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.9% ต่อเดือน

โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยแนวราบเหลือขาย

  • อันดับ 1 คือ ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนหน่วยเหลือขาย 37,068 หน่วย มูลค่า 151,278 ล้านบาท
  • อันดับ 2 คือ ระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท จำนวน 34,924 หน่วย มูลค่า 95,177 ล้านบาท
  • อันดับ 3 คือ ระดับราคา 5.10-7.50 ล้านบาท จำนวน 17,406 หน่วยมูลค่า 110,101 ล้านบาท

5 ทำเลศักยภาพโครงการอาคารชุด

สำหรับทำเลศักยภาพของตลาดอาคารชุด ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 โดยเป็นทำเลที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูง ประกอบด้วยโซน

1. ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวนยอดขาย 699 หน่วย มูลค่า 2,497 ล้านบาท อัตราดูดทรัพย์ 2.0% ต่อเดือน

2. คลองหลวง-หนองเสือ ยอดขาย 656 หน่วย มูลค่า 1,610 ล้านบาท อัตราดูดซับ 8.7% ต่อเดือน

3. เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ยอดขาย 615 หน่วย มูลค่า 1,233 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.1% ต่อเดือน

4. พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ยอดขาย 588 หน่วย มูลค่า 1,731 ล้านบาท อัตราดูดซับ 2.2% ต่อเดือน

5. ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด ยอดขาย 426 หน่วย มูลค่า 1,454 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.6% ต่อเดือน

ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายของอาคารชุดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่

1. ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขาย 11,086 หน่วยมูลค่า 46,350 ล้านบาท อัตราดูดทรัพย์ 2.0% ต่อเดือน

2. ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขาย 8,526 หน่วย มูลค่า 26,251 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.6% ต่อเดือน

3. พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ เหลือขาย 8,390 หน่วย มูลค่า 24,378 ล้านบาท อัตราดูดซับ 2.2%

4. เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เหลือขาย 5,922 หน่วย มูลค่า 13,676 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.1%

5. สุขุมวิท เหลือขาย 4,856 หน่วย มูลค่า 42,291 ล้านบาท อัตราดูดซับ 1.7% ต่อเดือน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแยกระดับราคาขายจะ พบว่า อาคารชุดที่มีหน่วยเหลือขาย

  • อันดับ 1 คือ ระดับราคา 2.01- 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 26,507 หน่วย มูลค่า 72,703 ล้านบาท
  • อันดับ 2 คือ ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 15,431 หน่วย มูลค่า 60,4002 ล้านบาท
  • อันดับ 3 คือ ระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 10,063 หน่วย มูลค่า 19,859 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมพบว่าไตรมาส 2 ปี 2566 มีสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยด้านการขายยังคงลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2566 โดยเมื่อเทียบกับปี 2565 อัตราการขายลดลงถึง 32.3% ขณะที่อัตราดูดซับปรับมาอยู่ที่ 2.6% ต่างจากอัตราดูดซับในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 3.9%

โดยเป็นการลดลงในกลุ่มของอาคารชุดมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอัตราการขายลดลงถึง 56.5% อัตราดูดซับปรับลงมาอยู่ที่ 2.5% ขณะที่ไตรมาส 2 ปีก่อนหน้าอัตราดูดซับสูงถึง 5.6%

ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ประเมินภาพรวมปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 โดยคาดว่าในปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวนทั้งสิ้น 95,732 หน่วย แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 56,646 หน่วย โครงการอาคารชุดจำนวน 39,086 หน่วย

มีอัตราการขยายตัวลดลง 12.5% โดยคาดว่าจะมียอดขายใหม่เข้ามาในตลาดรวมทั้งสิ้น 80,239 หน่วย เป็นยอดขายโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 47,375 หน่วย และยอดขายได้ใหม่โครงการอาคารชุดจำนวน 32,864 ลดลง 15.6% เมื่อเทียบกับปี 2565 มีจำนวนหน่วยหรือขายคงค้างในตลาดทั้งสิ้น 198,282 หน่วย จำนวนที่อยู่อาศัยคงค้างเพิ่มขึ้น 7.5% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงปี 2565 แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 127,043 หน่วย และโครงการอาคารชุด 71,239 หน่วย ขณะที่อัตราดูดซับคาดว่าในปี 2566 อัตราดูดซับเฉลี่ยจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8

สำหรับในปี 2567 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจะฟื้นตัวขึ้น โดยเป็นผลมาจากการปรับตัวของผู้ประกอบการในตลาดมีการปรับสมดุลระหว่างสินค้าเหลือขายและสินค้าเข้าใหม่ คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จำนวนทั้งสิ้น 108,886 หน่วย เพิ่มขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับปี 2566 แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 63,794 หน่วย และโครงการอาคารชุด 45,091 หน่วย

รวมถึงคาดว่าจะมียอดขายใหม่เกิดขึ้นในปี 2567 จำนวน 109,184 หน่วย เพิ่มขึ้น 36.1% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 62,862 หน่วย และโครงการอาคารชุด 46,323 หน่วย

ด้านอัตราดูดซับโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในปี 2566 เป็น 3.0% ในปี 2567 และคาดว่าจะมีหน่วยเหลือขายจำนวนทั้งสิ้น 197,984 หน่วย ในปี 2567 แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 127,976 หน่วยและโครงการอาคารชุด 70,008 หน่วย

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

แอสเซท ไฟว์ รีแบรนด์-โลโก้ใหม่เป็น A5 นำร่องด้วย "วนา ราชพฤกษ์-เวสต์วิลล์"

[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป ปรับโฉมรีแบรนด์-โลโก้ใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A5 GREATNESS Inspire

อ่านต่อ11 ก.ย. 2566