"ไม่ต้องเป็นหนี้นาน ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะ เมื่อวางเงินดาวน์มากขึ้น เพิ่มเงินผ่อนในแต่ละเดือน และโปะบ้านเมื่อมีเงินก้อน"
สำหรับคนที่กำลังจะกู้ซื้อบ้าน ถ้ากำลังวางแผนว่าจะดาวน์บ้านสักเท่าไร จะผ่อนนานแค่ไหน อยากให้ลองมาดูข้อผิดพลาดที่มักเจอในการกู้สินเชื่อบ้านที่อาจกระทบกับการเป้าหมายหรือการวางแผนการเงินในด้านอื่น ๆ ซึ่งข้อผิดพลาดที่อยากให้หลีกเลี่ยงไว้นั้น มีอะไรบ้าง K-Expert มีคำตอบมาฝาก
จ่ายเงินดาวน์น้อย
ปกติการซื้อบ้านจะต้องมีเงินก้อนหนึ่งสำหรับดาวน์บ้านอย่างน้อย 10-20% ของราคาบ้าน เพราะธนาคารมักให้กู้ประมาณ 80-90% ของราคาบ้าน ซึ่งคนทั่วไป ชอบเลือกจ่ายเงินดาวน์ให้น้อยที่สุด หรือบางครั้ง ธนาคารก็มีโปรโมชั่น กู้ได้ 100% ไม่ต้องวางเงินดาวน์ ยิ่งดึงดูดให้คนกู้ซื้อบ้านมากขึ้น เพราะว่าไม่ต้องใช้เงินของตัวเองเลย หรือไม่ต้องรอเก็บเงินก้อนนาน ๆ ก็กู้ซื้อบ้านได้แล้ว
แต่จริง ๆ แล้ว การวางเงินดาวน์ให้เยอะสักหน่อยมีข้อดีที่สำคัญคือ ขอวงเงินสินเชื่อในจำนวนที่น้อยลง ทำให้เสียดอกเบี้ยลดลง ลองคำนวณง่าย ๆ ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท วางดาวน์ 20% หรือ 2 แสนบาท อีก 8 แสนบาทขอเป็นวงเงินสินเชื่อ ถ้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7% ต่อปี ผ่อนเดือนละ 7,000 บาท จะจ่ายดอกเบี้ยสำหรับการซื้อบ้านทั้งหมดถึง 5.3 แสนบาท แต่ถ้าวางเงินดาวน์สัก 5 แสนบาท
ดังนั้น ถ้าวางแผนกู้ซื้อบ้าน แนะนำให้วางเงินดาวน์ให้มากเท่าที่ทำได้ (แต่อย่าลืมกันเงินสำรองเผื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉินออกมาก้อนหนึ่งสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน) จำไว้ว่า ยิ่งดาวน์มากก็ยิ่งดี นอกจากจะช่วยลดดอกเบี้ยได้มหาศาลแล้ว ยังช่วยให้กู้ผ่านได้สบาย ๆ มากขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บออมเงินดาวน์ก่อนกู้บ้าน เป็นการฝึกวินัยให้กับตัวเอง เพราะเมื่อกู้บ้านแล้ว จะมีภาระที่เราต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านทุกเดือน การเก็บเงินดาวน์ โดยเก็บออมให้ได้ทุกเดือน ก็ช่วยให้ตัวเราประเมินตัวเองในเบื้องต้นก่อนว่า พร้อมจะมีภาระในการเป็นหนี้ทุกเดือนไปอีกหลาย ๆ ปีหรือไม่ด้วย
จ่ายน้อยผ่อนนาน
โดยทั่วไปเรามักกู้บ้านได้นานถึง 20-30 ปี ซึ่งธนาคารจะคำนวณให้ว่า ยอดผ่อนต่อเดือนเป็นเท่าไร และหลาย ๆ คนก็เลือกผ่อนแต่ละงวดตามที่ธนาคารกำหนด แต่รู้หรือไม่ว่า เงินที่เราจ่ายไปในแต่ละงวดนั้นเป็นการจ่ายในส่วนของดอกเบี้ยเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า ยิ่งผ่อนนานมากเท่าใด ก็ยิ่งจ่ายดอกเบี้ยมากเท่านั้น คิดคำนวณง่าย ๆ บ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่อนนาน 30 ปี โดยผ่อนเดือนละ 7,000 บาท เมื่อคำนวณดอกเบี้ยที่จ่ายไปทั้งหมดจะราว ๆ 1.2 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเงินต้นหรือยอดเงินกู้เสียอีก
แต่หากเพิ่มยอดผ่อนในแต่ละเดือนให้มากขึ้น เช่น เพิ่มยอดผ่อนอีกเดือนละ 2,000 บาท เป็นผ่อนเดือนละ 9,000 บาท จะทำให้เหลือดอกเบี้ยที่จ่ายไปทั้งหมดราว 6 แสนบาท ในขณะที่ระยะเวลาผ่อนเหลือประมาณ 15 ปี จะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยต่างกันเกือบเท่าตัว และระยะเวลาผ่อนลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากการเพิ่มยอดผ่อนในแต่ละเดือนที่ช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้นแล้ว หากมีเงินก้อน เช่น เงินโบนัส ก็แนะนำให้นำมาโปะบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส
ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกผ่อนบ้านให้นาน ก็มีข้อดีคือ ช่วยให้ผ่อนสบาย ๆ เพราะหากเดือนไหน ช่วงไหน รายได้ลดลง หรือมีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ ก็ยังสามารถผ่อนบ้านตามยอดที่ธนาคารกำหนด ช่วยป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากผ่อนบ้าน โดยไม่เพิ่มยอดผ่อนในแต่ละเดือน หรือไม่นำเงินก้อนมาโปะหนี้บ้านเลย
นอกจากต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นจำนวนมากแล้ว หากรวมระยะเวลาผ่อนกับอายุของตัวเรา ก็เกือบ ๆ ถึงอายุเกษียณเลยทีเดียว เช่น เริ่มผ่อนบ้านเมื่ออายุ 30 ปี เลือกผ่อนนาน 30 ปี กว่าจะผ่อนหนี้ก้อนหนี้ได้หมด ก็อายุ 50-60 ปี ซึ่งตัวเราคงไม่อยากมีภาระหนี้ระยะยาวจนถึงอายุเกษียณเป็นแน่
ดังนั้น เมื่อตัดสินใจกู้บ้าน พยายามเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนให้มากขึ้น หรือโปะบ้านเมื่อมีเงินก้อน อ่านต่อเคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดไวด้วยวิธีจ่ายเกินและโปะเพิ่ม
อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า การดาวน์น้อย ผ่อนนาน แม้ว่าจะช่วยให้เราสามารถซื้อบ้านได้เร็วขึ้น และผ่อนสบาย ๆ ในแต่ละเดือนมากขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คือ ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น
หากวางแผนกู้ซื้อบ้าน ลองอดใจเก็บเงินดาวน์อีกสักนิด อดทนผ่อนต่อเดือนให้มากขึ้นสักหน่อย จะพบว่าสามารถประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสำหรับการการเป็นเจ้าของบ้านสักหลังได้ไม่น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังวางแผนซื้อบ้านในฝันทุกท่าน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ