คอลลิเออร์สฯ มองตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีหลังลุ้นเหนื่อย ท่ามกลางปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ชี้ผู้ประกอบการอาจเลือกชะลอการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อรอกำลังซื้อ โดยเฉพาะในทำเลต่างจังหวัด
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 โดยบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย พบว่าในช่วงครึ่งปีแรก สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่มีทีท่าที่จะฟื้นตัวดังที่รัฐบาลคาดหวัง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยคนส่วนใหญ่เลือกที่จะลดการใช้จ่ายลง และไม่อยากสร้างหนี้สินผูกพันระยะยาว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่าตลาดที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด ได้แก่ คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ที่แม้ว่าหลายโครงการเปิดใหม่จะมียอดจองสูง หรือหมด 100% ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหลังจากที่เปิดขาย แต่นั่นไม่ได้แสดงว่าตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาฟื้นตัว เพราะเป็นแค่บางโครงการในบางทำเล และเฉพาะกับผู้ประกอบการบางรายเท่านั้น ในขณะที่จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมายังน้อยกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 4% โดยในไตรมาสที่ 2 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายในกรุงเทพฯ รวม 11,446 ยูนิต
“อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรงคือ การที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เข้มงวดในการพิจารณาการขอสินเชื่อมากทำให้สัดส่วนของคนที่โดนปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 25 – 30% และยอดโอนกรรมสิทธิ์ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งยูนิตเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการแน่นอน และที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ จำนวนของคอนโดมิเนียมที่มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีจำนวนรวมมากกว่า 40,000 ยูนิต ดังนั้น ผู้ประกอบหลายรายที่มีคอนโดมิเนียมรอโอนอยู่จะต้องให้ความสนใจในประเด็นนี้มาก เพราะหากผู้ประกอบการณ์รายใดมียูนิตที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์มากก็จะมีผลกระทบต่อหลายๆ อย่างตามมาแน่นอน”
“ยอดขายหรือยอดจองโครงการที่เปิดขายในไตรมาสที่ 1 – 2 อาจจะค่อนข้างสูงคืออยู่ที่ประมาณ 70% เพราะมีหลายโครงการที่มีคนจองหมดเร็ว หรือผ่านไปไม่นานแม้จะเป็นโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรก็ตาม แต่ก็มีหลายโครงการที่อัตราการขายค่อนข้างช้า” นายสุรเชษฐ กล่าว
สำหรับสินค้าที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นิยมพัฒนาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ได้แก่ คอนโดมิเนียมระดับราคาประมาณ 50,001 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 8 – 9 เดือนที่ผ่านมา โดยสินค้าในระดับราคาดังกล่าวหลายโครงการได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทย และต่างชาติเป็นจำนวนมาก
ด้านนายสัญชัย คูเอกชัย รองกรรมการผู้จัดการ คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แล้ว ทำเลอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ พัทยา ที่แม้ว่าจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในทำเลนี้จะลดลง ซึ่งผลกระทบส่วนหนึ่งมาจากการที่เศรษฐกิจรัสเซียมีปัญหาทำให้คนรัสเซียมาประเทศไทยลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่พัทยากลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมากขึ้นมาเท่าตัว แม้ว่าชาวจีนจะยังไม่ได้กลายเป็นผู้ที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในพัทยาแทนที่ชาวรัสเซีย แต่มีแนวโน้มที่มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการชาวจีนเข้ามาลงทุนในพัทยา
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในชะอำ หัวหิน และปราณบุรี ที่เป็นตลาดของผู้ซื้อชาวไทยเป็นหลักก็ยังคงสามารถไปได้แม้ว่าจะลดลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไป เช่นเดียวกับตลาดภูเก็ตที่ตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัวเช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมากเกินไป
“ตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดอื่นๆ ทั้งเชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ก็อยู่ในภาวะชะลอตัวเช่นกัน แต่จะมากกว่าจังหวัดท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าไม่มีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น ทะเล หรือเป็นเมืองท่องเที่ยว ตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดเหล่านี้คงชะลอตัวไปอีกหลายปี ผู้ประกอบการคงต้องใช้เวลาในการขายโครงการที่เปิดตัวไปแล้วสักระยะหนึ่ง” นายสัญชัยกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คอลลิเออร์สฯ มองว่าจะไม่แตกต่างจากช่วงต้นปีมากนัก เพราะภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามเร่งการเบิกจ่ายเงินภาครัฐ และเดินหน้าโครงการต่างๆ มากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่น่าจะเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมจะยังคงไม่ขยายตัวมากนัก เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับแผนการเปิดขายโครงการใหม่โดยลดจำนวนโครงการลง และเลือกเปิดขายในบางทำเลเท่านั้น ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดก็ยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ผู้ประกอบการบางรายอาจจะมีการชะลอการขาย หรือหยุดขายโครงการไปเลยเพื่อรอให้กำลังซื้อกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่