6 ข้อคิดเรื่องเงินของคนมีคู่

16 พ.ย. 2559

นอกจากปัญหาเรื่องการนอกใจที่เป็นปัญหาใหญ่ของคู่รัก เรื่องเงินก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ห้ามประมาทเด็ดขาด!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่รักที่แต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว เพราะเรื่องเงินนี่แหละที่อาจสร้างผลเสียต่อชีวิตคู่ของคุณและเป็นสาเหตุหนึ่งในการหย่าร้าง ลองอ่าน บทความจากคุณ อภินิหารเงินออม Aommoney Guru เรื่อง “6 ข้อคิดเรื่องเงินของคนมีคู่” เพื่อเป็นการปูทางให้ชีวิตคู่ของคุณราบรื่น ทั้งในคู่รักที่แต่งงานแล้วหรือมีแผนจะแต่งงาน จะได้เป็นการเตรียมความพร้อมและพูดคุยกันก่อนตัดสินใจร่วมชีวิต อย่าปล่อยให้เรื่องเงินมาบดบังความรักของพวกคุณ

 

1. ไม่ควรสร้างหนี้จากการแต่งงาน
สำหรับคนที่มีทุนเก่าจากทางบ้านสนับสนุนอุดหนุนเงินทองอย่างเหลือเฟือ จะจัดงานแต่งใหญ่เวอร์วังอลังการขนาดไหนก็ย่อมทำได้เพราะมีงบไม่อั้น!! แต่ถ้าเรามีงบจัดงานแต่งอันน้อยนิดกระจิดริด แล้วคิดจัดงานใหญ่โต วาดฝันไว้ว่าจะนำเงินในซองของแขกมาจ่ายค่าจัดงานแต่ง ขอบอกเลยว่ายาก!! เพราะต้องมานั่งลุ้นกันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบใดใน 2 แบบนี้

เงินในซองของแขก > เงินค่าจัดงานแต่ง ==> คุ้มทุน รอดตัวไป
เงินในซองของแขก < เงินค่าจัดงานแต่ง ==> ขาดทุนต้องควักเงินตัวเองไปจ่าย

คราวนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างหลังปัญหาก็จะเริ่มเกิดขึ้นล่ะ ไม่พ้นต้องไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย ซึ่งความจริงแล้ว “ขนาดของงานแต่ง มันไม่ได้บอกถึงอนาคตของความรัก” การจัดงานแต่งงานนั้นเป็นเพียงการประกาศให้โลกรู้ว่าเราสองคนแต่งงานกันแล้วนะ ส่วนชีวิตจริงมันเป็นการดูแลกันช่วงหลังการแต่งงานไปแล้วว่า ทั้งสองคนจะกอดคอไปกันรอดไหม

มันคงเป็นเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา ถ้าหนี้เล็กๆ จากการแต่งงานเป็นตัวดึงให้เกิดหนี้สินอื่นๆ ตามมาและเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด การทะเลาะกันในครอบครัวจนทำให้ต้องแยกทางกัน

 

2. ทำให้เงินสินสอดเติบโต
เงินสินสอดเป็นเงินทุนเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่จะต้องช่วยกันคิดว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรบ้าง ที่จะต้องคุยกันอย่างเปิดเผย จดบัญชีไว้รัวๆ จะได้รู้ว่าตอนนี้เงินของเราสองคนเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ส่วนตัวผู้เขียนจัดการเงินสินสอดโดยการแบ่งไว้ 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 : 50% ของเงินสินสอด เพื่อลูก

เก็บไว้ใช้ในระยะปานกลาง คือ วางแผนเพื่อลูกในวัยเข้าเรียนชั้นอนุบาล เป็นเงินที่สำคัญจะเสี่ยงมากไม่ได้ จึงเลือกเก็บในที่ที่มีความเสี่ยงต่ำๆ และถอนออกยาก จะได้ไม่เผลอหยิบออกมาใช้ เราเก็บไว้ที่สลากออมสินเพราะวันที่สลากครบกำหนดอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้เงินพอดี แถมยังลุ้นถูกรางวัลอีกด้วย

ส่วนที่ 2 : 45% ของเงินสินสอด เพื่อเงินฉุกเฉินและเงินลงทุน

เก็บไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินและเงินลงทุน เราก็จะต้องอัพเดทให้ดูเรื่อยๆ ว่าพอร์ตลงทุนเป็นอย่างไร จะได้เข้าใจและช่วยกันติดตามข่าวสาร แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน แล้วให้เราจัดการเองทุกอย่าง มันไม่ใช่นะ เงินของเราทั้งสองคนก็ต้องช่วยกันดูแล อย่างน้อยก็ต้องรับฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันหลังจากเสียหายจากการลงทุนไปแล้ว
เงินฉุกเฉิน เป็นเงินระยะสั้นเอาไว้ใช้ในช่วงเร่งด่วน เก็บไว้ที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เบิกใช้ได้สะดวก
เงินลงทุนเพื่อเติบโต ก็จะลงในที่ที่มีความเสี่ยงเพื่อสร้างเงินให้เติบโต เช่น การลงทุนหุ้น

ส่วนที่ 3 : 5% ของเงินสินสอด เพื่อความสนุกสนาน

เติมพลังให้ชีวิตก็ต้องมีไปเที่ยวกันบ้าง ก็แบ่งเงินสินสอดมานิดหน่อย เราตั้งไว้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ใช้งบประมาณเท่าไหร่ ถ้าเงินสินสอดไม่พอเที่ยวก็จะต้องช่วยกันเก็บเงินเพิ่ม โดยเก็บไว้ที่ที่มี ความเสี่ยงต่ำ เราเลือกเก็บที่บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง

 

3. ตั้งเป้าหมายชีวิตคู่ร่วมกัน
ฉันก็มีความฝันของฉัน เขาก็มีความฝันของเขา แต่ถ้า “ฉันและเขา” แต่งงานกัน ก็จะต้องมีความฝันของเราร่วมกัน

แต่ละคนก็จะมีเป้าหมายของตัวเอง แต่พอได้แต่งงานกันแล้วก็จะต้องเพิ่มเป้าหมายของเราสองคนเข้าไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเรากำลังเดินจูงมือกันมุ่งหน้าไปทางไหนและตอนนี้ควรทำอะไรบ้าง เช่น วางแผนเก็บเงินซื้อบ้าน เราทั้งสองคนก็จะรู้ว่าตอนนี้กำลังจะสะสมเงินก้อนเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าดาวน์บ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์และผ่อนบ้านในอนาคต

สิ่งที่ควรทำ คือ การใช้จ่ายอย่างประหยัด ต้องหาวิธีเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น

เมื่อเรามีเป้าหมายนี้แล้ว เวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้จ่ายเงินเพลิน เช่น ฝ่ายหญิงชอบช้อปปิ้งเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือฝ่ายชายชอบแต่งรถ ก็อาจจะงัดเป้าหมายนี้มาคุยกันว่า “ถ้าตอนนี้ยังใช้จ่ายเงินแบบนี้อยู่ เมื่อไหร่เป้าหมายบ้านในฝันของเราจะเป็นจริง”

 

4. คนมีคู่ควรแบ่งเงินเป็น 3 กอง
บางครอบครัวอาจจะรวมกระเป๋าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่รู้จักวิธีจัดการเงินเป็นคนถือและดูแลเรื่องเงิน ในขณะที่บางคู่อาจจะแยกกระเป๋ากันแล้วบอกว่าใครจะรับผิดชอบรายจ่ายอะไรบ้าง มันก็แล้วแต่เราจะตกลงกัน ส่วนตัวจะใช้อีกวิธีหนึ่งที่แบ่งเงินออกเป็น 3 กอง คือ

• เงินของเรา เงินที่ไว้ใช้กับเรื่องส่วนตัวของเราเอง เช่น ช้อปปิ้ง ไปสังสรรค์กับเพื่อน
• เงินของเขา เงินที่ไว้ใช้กับเรื่องส่วนตัวของเขา เช่น ไปกินดื่มกับเพื่อนๆ ค่าอุปกรณ์กีฬา
• เงินกองกลาง เป็นเงินที่ใช้จ่ายกับกิจกรรมที่เราทำร่วมกันก็จะจ่ายจากส่วนนี้ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเช่า(หรือผ่อน)บ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน ค่าไปเที่ยว ฯลฯ

สำหรับเงินกองกลางวิธีคิดง่ายๆ คือ รวมรายจ่ายที่ต้องใช้แล้วหารสองก็จะรู้ว่าควรใส่เงินกับกองกลางเท่าไหร่ เช่น ใช้จ่ายร่วมกันเดือนละ 20,000 บาท ก็ควักเงินคนละ 10,000 บาทไว้ที่กองกลาง (แต่ถ้าทั้งสองคนมีรายได้ต่างกันมากๆก็อาจจะแบ่งเก็บเงินกองกลางเป็น % ตามรายรับของตนเองก็ได้นะจ๊ะ)

ส่วนตัวมองว่าเพื่อความโปร่งใส ควรจดบัญชีว่ารายจ่ายของเงินส่วนกลางว่าใช้ไปกับอะไรบ้าง ถ้าใช้เงินหมดเร็วจะได้กลับมาดูบัญชีว่าหมดเงินไปกับอะไร จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันว่าเงินหายไปไหน แล้วจะได้ช่วยกันแก้ไข
ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าไม่ไว้ใจกันใช่ไหมถึงต้องคอยตรวจสอบกันตลอดเวลา ลองมองอีกมุมหนึ่งว่ามันคงรู้สึกอึดอัดมากถ้าต้องมาหวาดระแวงเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะนำเงินไปทำอะไรในทางเสียหายจนเงินหมดหรือว่าเอาไปให้กิ๊กรึเปล่า ส่วนตัวมองว่าการจดบัญชีให้โปร่งใสจะทำให้ เราสองคนเกิดความสบายใจ

 

5.อย่าให้ความชอบส่วนตัวมาทำให้ระบบการเงินในครอบครัวพังยับเยิน
เงินของฉัน!! จะเอาไปซื้ออะไรก็ได้
ฝ่ายชาย : ชอบแต่งรถ ซื้ออุปกรณ์กีฬา ซื้อจักรยาน
ฝ่ายหญิง : ชอบซื้อเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า (อ่านเพิ่มเติม : 4 ไอเดียช้อปปิ้งเสื้อผ้าแบบฉลาดเรื่องเงิน)

ถ้าเราแต่งงานกันแล้ว นอกจากซื้อของจากความชอบส่วนตัวแล้วก็ต้องแคร์เป้าหมายของเราทั้งสองคนด้วย เพราะมันจะต้องเดินพร้อมๆ กัน ลองคิดดูว่าถ้าเราใช้เงินเพื่อความชอบ เพื่อความฝันของเราทุกอย่าง จนทำให้ระบบการเงินของครอบครัวพังยับเยิน เกิดหนี้สินรุงรังตามมา อนาคตชีวิตคู่ของเราต้องสะดุดอย่างแน่นอน

ทีนี้จะขอคั่นด้วย 2 คำถามจากแฟนเพจทึ่เกี่ยวข้องกับเรื่องการใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคน

คำถามที่ 1 แฟนชอบซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจะทำไงดีครับ
อย่าพึ่งคิดไปเองว่าแฟนใช้จ่ายสิ้นเปลือง ควรสอบถามแฟนว่าที่ซื้อมาทั้งหมดนี้ “ใช้เองหรือเก็งกำไร” เพราะกระเป๋าแบรนด์เนมบางรุ่นมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ซื้อมาแล้วขายไปได้กำไรส่วนต่าง ถ้าจะให้ดีมากขึ้นเราก็อาจจะสอบถามต่อไปว่า มีวิธีการเก็งกำไรยังไงแบบไหนบ้าง เราจะได้เข้าใจแฟนแล้วจะได้มีความรู้การลงทุนแนวใหม่มากขึ้น

ถ้าแฟนตอบว่า “ซื้อมาใช้เอง” แต่เรามองว่ามันมากเกินไปและทุกวันนี้ก็ใช้อยู่ไม่กี่ใบ ควรสอบถามกลับไปว่า “ทำไมถึงซื้อเยอะขนาดนี้ ของเก่าใช้คุ้มแล้วรึยัง” พร้อมกับงัดเป้าหมายของเราทั้งสองคนขึ้นมาคุยว่า ถ้ายังใช้จ่ายแบบนี้ต่อไป เป้าหมายของเราคงไม่สำเร็จสักที อาจจะแนะนำทางเลือกว่าอาจจะขายของเก่าแล้วไปซื้อของใหม่ หรือว่าซื้อลดการซื้อให้น้อยลง

คำถามที่ 2 แฟนชอบแต่งรถทำไงดีคะ
การแต่งรถมันไม่ได้แต่งทีเดียว มันค่อยๆ แต่งทีละเล็กทีละน้อย เราก็จะไม่รู้ว่ารวมๆ กันแล้วหมดไปกับคันนี้เท่าไหร่แล้ว วิธีที่จะทำให้เห็นภาพง่ายที่สุด คือ รวบรวมใบเสร็จค่าแต่งรถทั้งหมดมาเรียงกันแปะไว้ที่กระดาน แล้วบวกกันว่าหมดเงินไปแล้วเท่าไหร่ พร้อมกับบอกว่าถ้านำเงินก้อนนี้ไปใช้ลงทุนจะทำให้เงินเติบโตเท่าไหร่ แล้วย้ำเป้าหมายการเงินของเราทั้งสองคนว่าคืออะไร ถ้ามีค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากเกินไปจะทำให้ไปถึงเป้าหมายช้าก็ได้

 

6. หนี้ฉัน หนี้เขา หนี้ของเรา
เรื่องหนี้สินเป็นเรื่องสำคัญมากๆ บางคนคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ต้องบอกกันก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดการทะเลาะ การไม่ไว้ใจกันและไม่เข้าใจกันได้ จนทำให้ครอบครัวแตกแยก ทางที่ดีเราควรคุยกันให้ชัดเจนก่อนแต่งงานว่า…

หนี้ฉัน หนี้เขา : คุยกันว่าแต่ละคนมีหนี้อะไรบ้าง มียอดหนี้เท่าไหร่ จะรับผิดชอบหนี้ของตนเองหรือว่าจะให้อีกฝ่ายช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ สมมติว่าเรามีหนี้ผ่อนรถยนต์ จะให้อีกฝ่ายมาช่วยผ่อนรถด้วยนั้น เราควรเข้าใจด้วยว่าตอนนี้เขามีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น เลี้ยงดูพ่อแม่ ผ่อนรถยนต์ ผ่อนบ้าน ก็อาจจะทำให้เขาไม่สามารถมาช่วยเราผ่อนรถยนต์ได้ ดังนั้น เราก็จะต้องรับผิดชอบหนี้ของตนเอง

หนี้ของเรา : เมื่อแต่งงานแล้วสร้างทรัพย์สินร่วมกันก็จะกลายเป็นหนี้ของทั้งสองคนที่ต้องช่วยกันรับผิดชอบ ก็แบ่งกันว่าใครจะดูแลเท่าไหร่ ถ้าทำงานกันทั้งสองคนก็อาจจะแบ่งจำนวนเงินชำระหนี้ตามสัดส่วนรายได้

แต่ว่า!!

บางครั้งอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ถ้ามีฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน หนี้ของเราทั้งสองคนที่สร้างมา ก็จะกลายเป็นภาระหนักกับอีกฝ่ายหนึ่งทันที เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เราควรทำ “ประกันชีวิต” คุ้มครองภาระหนี้สินไว้ด้วย เพื่อจะได้บรรเทาความเดือดร้อนทางด้านภาระค่าใช้จ่ายให้กับคนที่เรารักได้

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตการแต่งงานจะออกมาเป็นแบบไหน จะไปกันรอดหรือไม่ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ที่การนอนคุยกัน ย้ำซ้ำๆ อีกครั้งว่าแนวความคิดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านจะต้องนำไปปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของครอบครัวตัวเองนะจ๊ะ

ขอให้ทุกท่านโชคดี

ภาพจาก Aommoney

ภาพจาก Aommoney

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมที่ช่วยในการวางแผนการเงินได้ที่ ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/category/th-fn รวมถึงรีวิวโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ๆ สำหรับคู่รักที่อาจกำลังมองหาเรือนหอไว้ใช้อยู่ร่วมกันหลังแต่งงาน

 

เขียนโดย : อภินิหารเงินออม
Facebook : อภินิหารเงินออม
จาก AomMoney.com : 6 ข้อคิดเรื่องเงินของคนมีคู่

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

คู่รักเซเลบฯแชร์ทิปส์หาเรือนหอ

เมื่อพูดถึงความรัก คงมีหลายคนอยู่ไม่น้อยที่เชื่อในบุพเพสันนิวาส แต่ส

อ่านต่อ21 มิ.ย. 2556