ช่วงครึ่งหลังปี 2559 เชื่อว่าตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวตกอยู่ในอาการซึมเศร้า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีเรื่องของอินฟราสตัคเจอร์ทยอยอนุมัติก็ตาม แต่ก็อยู่ระหว่างการดำเนินงานยังเห็นภาพที่ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ด้านเหล่าบึ๊กดีเวลลปเปอร์นับจากนี้ เตรียมงัดไม้เด็ดด้านการตลาดดึงกำลังซื้อของลูกค้าท่ามกลางไร้สัญญาณบวก
โดยแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ผู้ประกอบการจะเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วง 4 เดือนแรกของปี 59 การเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงมาก โดยมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ 100 โครงการ รวม 23,710 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22% แบ่งเป็น บ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่ 50 โครงการ รวม 9,880 หน่วย ลดลง 30% และอาคารชุดเปิดตัวใหม่ 40 โครงการ รวม 13,830 หน่วย ลดลง 16%
ขณะที่ภาพรวมยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาค่อนข้างลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะปัจจัยเดียวกันนั้นก็คือ ผู้ประกอบการเร่งขายสินค้าพร้อมอยู่ที่เป็นสต๊อกในมือและเร่งธุรกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ให้ทันกับมาตรการฯ ดังนั้น จึงสะท้อนได้จากรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ที่ระบุว่า ยอดขายไตรมาส 1/2559 ของ 15 บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมมีมูลค่า 4.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2558
สร้างโอกาสขยายฐานลูกค้าต่างชาติซื้อลงทุน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดอสังหาฯในประเทศเริ่มชะลอตัว ดังนั้นการโรดโชว์ในต่างประเทศจึงเป็นทางออกที่น่าสนใจ และเริ่มเป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจเช่นกัน โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ออกไปโรดโชว์ต่างประเทศจะเน้นกลุ่มนักลงทุน และชูจุดขายอัตราการปล่อยเช่าเป็นหลัก ยกเว้นสินค้าที่ราคาไม่สูงมากก็อาจจะขายได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างชาติด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้อสังหาฯเมืองไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาตินั้น คือ ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีศักยภาพในการเติบโต สืบเนื่องจากแผนการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ทำให้ตัดสินใจซื้อเพื่อลงทุนเพราะมองว่าคุ้มค่า
บึ๊กแบรนด์บินลัดฟ้าโรดโชว์หาบพร็อพเพอร์ตี้ขาย
บึ๊กแบรนด์อย่าง แสนสิริ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับต้นๆ ที่นำโครงการออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด จากการที่เล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ หลาย ๆ ครั้งได้นำโครงการคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดออกไปโรดโชว์ให้ลูกค้าต่างชาติได้ช็อปปิ้งกัน
โดยเริ่มจากปี 58 ได้นำโครงการ เดอะ เบส พาร์คเวสท์ และเดอะ เบส พาร์คอีสต์ ไปในประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง รวมทั้งโรดโชว์โครงการในภูเก็ต คือ บ้านไม้ขาว เดอะ เดค ป่าตอง เดอะ เบส ไฮท์ ภูเก็ต และเดอะ เบส อัพทาวน์ ภูเก็ตในไต้หวันด้วย รวมถึง ยังเดินหน้าเปิดตลาดปักกิ่ง ประเทศจีน เพิ่มขึ้นอีกตลาดหนึ่งเพื่อนำโครงการคอนโดมิเนียมในภูเก็ตไปโรดโชว์ รวมทั้งยังนับเป็นอีกช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ตระกูลแบรนด์ เดอะไลน์ ทั้ง 4 โครงการ ที่ได้รับผลตอบรับกลับมาอย่างสวยงามทุกโครงการ
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 600 ล้านบาทจากลูกค้าฮ่องกง รองลงมา คือ กลุ่มลูกค้าชาวจีนที่ซื้อคอนโดรวม 350 ล้านบาท และลูกค้าชาติตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อเมริกา ฯลฯ ที่มียอดซื้อโครงการรวมกว่า 200 ล้านบาท โดยเหตุผลหลักในการซื้อของลูกค้าชาวฮ่องกงและจีน คือ เพื่อการลงทุน โดยสนใจโครงการที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือในเมืองท่องเที่ยวที่ให้ผลตอบแทนจากอัตราค่าเช่าในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่ลูกค้าตะวันตกจะมองโครงการที่เป็นได้ทั้งเป็นบ้านพักตากอากาศและสามารถปล่อยเช่าผลตอบแทนสูงได้ในช่วงที่ไม่ได้มาพักอาศัย อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าดีมานด์ต่างชาติในปีนี้เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท จากปีก่อน 3,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติแล้วกว่า2,000 กว่าล้านบาท
เช่นเดียวกับ บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เตรียมโรดโชว์ต่างประเทศในช่วงไตรมาส 3 -4 โดยวางแผนจะไปโรดโชว์ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และเมียนมา เพื่อเป็นการขยายสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ ทั้งนี้ก็ยังมีบริษัท เอสซี แอสเสท บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เป็นต้น เป็นต้น
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี้
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com