ฮาบิแทท ดึงเชนนอกโรงแรมเบสท์เวสเทิร์น แบรนด์ดังจากอเมริกาบริหารจัดการ ชูการันตีอัตราผลตอบแทน 7% นาน 5 ปี โฟกัสกลุ่มนักลงทุน เผยราคาที่ดินริมทะเลพัทยา จากไร่ละ 10 – 20 ล้านบาท ปัจจุบันพุ่งทะยานไร่ละ 100 ล้านบาท
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัวคอนโดมิเนียมใหม่แบบโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น “Best Western Premier BayPhere Pattaya” มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท นับว่าเป็นที่ดินติดหาดแปลงเล็กผืนสุดท้าย บนที่ดินรวม 1 ไร่ มีเพียง 174 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.2 – 5 ล้านบาท หรือ เริ่มต้นตรม.ละ 107,000 – 120,000 บาท จะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 2 ปี 2560 แล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2561 ส่วนอัตราการปล่อยเช่าต่อคืนจะอยู่ที่ 3,500 – 5,000 บาทต่ออคืน แต่ขึ้นอยู่กับช่วงไฮซี่ซั่น และโลว์ซี่ซั่นด้วย
โดยทางบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับโรงแรมในตลาดต่างประเทศสหรัฐอเมริกา “เบสเวสเทิร์น” ที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารจัดการมากว่า 70 ปี ซึ่งได้นำระบบ Rental Management โปรแกรมมอบผลตอบแทนนักลงทุน โดยการันตีผลตอบแทนค่าเช่า 7% ต่อปี เป็นเวลานานถึง 5 ปี หลังจากปีที่ 5 แบ่งผลกำไร 60 / 40 โดยลูกค้ารับผลตอบแทน จากกำไรของการบริหารการเช่าถึง 60 % จากผลกำไรทั้งหมด รวมถึงมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาตคด้วย และได้รับสิทธิ์ในการพักผ่อนคอนโดฯ ที่มีระบบบริหารจัดการแบบโรงแรมสี่ถึงห้าดาวได้ถึง 14 วันต่อปี
สำหรับภาพรวมตลาดพัทยา เมืองขนาดเล็ก แต่ศักยภาพเติบโตค่อนข้างมาก และราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ สามารถสร้าง Capital Gain ให้กับนักลงทุนได้มาก โดยปัจจัยที่ทำให้เมืองเติบโต มีอยู่หลายปัจจัย ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีสูงถึงสิบล้านคน สนามบินอู่ตะเภาที่กำลังขยายอาคารผู้โดยสารที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นหลายล้านคน เส้นมอเตอร์เวย์ เชื่อมต่อกรุงเทพไประยอง ในเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า และระหว่างทางมีทางออกมายังถนนนาจอมเทียน โดยตรง ซึ่งใกล้กับโครงการ ทำให้การเดินทางสะดวก และมั่นใจได้ว่าจะมีการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันมีทั้งนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ ทั้งคนไทยเอง และนักท่องเที่ยวในโซนเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และรัสเซีย ฯลฯ ทำให้พัทยามีข้อได้เปรียบในเรื่องของอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยสูงถึง 80 % ซึ่งสร้างผลตอบแทนค่าเช่าที่สูงกว่ากรุงเทพฯ โดยแนวคิดของบริษัทฯ มองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นนักลงทุน ซึ่งบริษัทเข้าใจในความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ จึงสร้างโปรดักส์ให้เหมาะกับการลงทุนเป็นพิเศษ โดยแต่ละห้องจะตกแต่งให้ครบเป็น Fully Furnish มีส่วนกลางดูแล ปล่อยเช่า ไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมแซม
ขณะที่แนวโน้มราคาที่ดินในพัทยาการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมทะเล ราคามีการปรับขึ้นสูงสุดเฉลี่ยปีละมากกว่า 10-20% เนื่องจากที่ดินซึ่งมีอยู่จำกัดแล้ว ขณะที่นักลงทุนก็ได้มีการเข้าไปกว้านซื้อเก็งกำไร และซื้อเพื่อพัฒนาโครงการ ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาที่ดินบริเวณริมทะเลในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับขึ้นมา 2 เท่าตัว ทั้งบริเวณจอมเทียน นาจอมเทียน จากราคาไร่ละ 10-20 ล้านบาท แต่ปัจจุบันราคาขยับขึ้นมาอยู่ที่ไร่ละกว่า 60-100 ล้านบาทแล้ว ขณะที่ราคาขายของคอนโดมิเนียมในบริเวณริมทะเล ปรับเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะจากที่ดินมีจำกัด ทำให้มีซัพพลายเปิดใหม่ไม่มาก ในช่วง 4-5 ปี มีแค่จำนวน 700-800 ยูนิต ส่งผลให้ราคาขายคอนโดติมริมทะเล ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากตร.ม.ละ 80,000 บาท ขยับขึ้นไป 1.4-1.5 แสนบาทต่อตร.ม. หรือเฉลี่ยขึ้นปีละกว่า 10%
ด้านนโยบายการดำเนินงาน บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ปีละ 2 – 3 โครงการ มูลค่าราว ๆ 500- 1,000 ล้านบาท โดยในช่วง 2-3 ปีนี้ จะโฟกัสในเมืองพัทยาเป็นหลัก และหลังจากนั้นจะเข้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ โดยจะยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าเป็นหลัก
อนึ่ง เบสท์เวสเทิร์นเป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดและมีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา จึงมีลูกค้าประจำที่มาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันเหมือนที่เคยได้รับจากโรงแรมในเครือ เราอยู่ในเอเชียมานานถึง 15 ปีแล้ว และเป็นที่ยอมรับในตลาด ทั้งในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งนับเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนโรงแรมของเรามากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com
