3 สาเหตุ...ที่ทำให้ลงทุนแล้วได้กำไรน้อย - ขาดทุนเยอะ

23 ส.ค. 2559

“ขาดทุนแล้วไม่กล้าตัดใจขายทิ้ง คิดว่าจะต้องกลับมาดีเหมือนในอดีตแม้สถานการณ์เปลี่ยนไป หรือลงทุนแล้วกำไรหน่อยเดียวก็เอา ถือเป็น 3 พฤติกรรมที่นักลงทุนควรพิจารณาแก้ไข เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมากยิ่งขึ้น” – K-Expert

หลายคนที่ชอบลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือเก่าหรือมือใหม่มักมีคำถามคาใจที่ว่า “ทำไมลงทุนไปแล้วไม่รวยสักที” เวลาได้กำไรก็ได้แค่เพียงหลักพัน แต่พอขาดทุนขึ้นมาแต่ละทีกลับเป็นหลักหมื่น ทำให้รู้สึกเครียด นอนไม่หลับไปหลายคืนเลยทีเดียว บางคนโทษดวง โทษโชคชะตา จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เกิดจากอะไร และเราจะมีแนวทางแก้ไขในเบื้องต้นอย่างไร เพื่อไม่ให้ลงทุนไปแล้วได้กำไรน้อย ขาดทุนเยอะ K-Expert มีคำตอบในเรื่องนี้มาฝากครับ

 

1. ขาดทุนแล้วไม่กล้าตัดใจขายทิ้ง
เมื่อเราลงทุนไปแล้วเกิดหุ้นตก ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง หลายคนขาดทุน แต่ก็ยังไม่กล้าตัดใจขายหุ้นทิ้งไป เปรียบเหมือนกับการที่เราซื้อตั๋วเข้าไปนั่งดูหนังที่เราคาดว่าจะสนุกสมกับที่รอคอยมานาน แต่พอฉายไปได้สักพักกลับพบว่าไม่สนุกเอาซะเลย คำถามคือ เราจะทำอย่างไรระหว่าง “ทนนั่งดูหนังต่อไป” หรือ “ตัดใจเดินออกจากโรงหนังตอนนั้นเลย”

คนส่วนใหญ่มักจะเลือกนั่งดูหนังต่อไปทั้งๆ ที่ไม่สนุกด้วยเหตุผลหลักคือเสียดายเงินนั่นเอง ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเงินที่เราจ่ายไป เพราะอย่างไรเสียเราก็ได้จ่ายเงินจำนวนนั้นไปแล้ว ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม การที่เราทนนั่งในโรงหนังต่อไปก็แปลว่า เงินก้อนนั้นเราจ่ายไปเพื่อให้เกิดความทุกข์ ดังนั้น เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว เราควรตัดใจเดินออกจากโรงหนังแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อให้ชีวิตเรามีความสุขมากกว่า การลงทุนก็เช่นกัน หากหุ้นตกและเห็นท่าไม่ดีแล้วก็ควรตัดใจสับเปลี่ยนไปยังตัวอื่นที่มีแนวโน้มจะสร้างโอกาสใหม่ให้กับเราดีกว่าครับ

ข่าวอสังหาริมทรัพย์ : Trigger Fund กองทุนรวมนี้น่าลงทุนหรือไม่ และเหมาะกับใคร

รีวิวโครงการใหม่ : พลัมคอนโด ปิ่นเกล้า สเตชั่น (Plum Condo Pinklao Station)

 

2. คิดว่าจะต้องกลับมาดีเหมือนในอดีตแม้สถานการณ์เปลี่ยนไป
เชื่อว่านักลงทุนหลายคนยึดติดกับราคาที่เคยซื้อขายในอดีตซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หุ้นร่วง คือเราจะกอดมันไว้หรือไปช้อนซื้อเรื่อยๆ โดยหวังว่าเดี๋ยวราคาก็จะกลับขึ้นไปเหมือนเดิม ถือเป็นอคติที่เกิดจากการยึดมั่นกับสิ่งที่เราเคยเจอมา ทั้งนี้ หากเราใช้เทคนิคซื้อถัวกับหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ถูกปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานมากระทบ เช่น ความกังวลของตลาดโดยรวม ก็คงไม่เป็นไรเพราะราคาหุ้นก็จะกลับไปสะท้อนพื้นฐานของมัน แต่ถ้าเกิดพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนไปแล้ว คือร่วงแล้วร่วงเลย ไม่กลับฟื้นมาอีก สุดท้ายนักลงทุนทนต่อไปไม่ไหวและมักจะไปขายแถวๆ ราคาที่ต่ำเกือบจะที่สุด คือราคามันนอนแน่นิ่งไปแล้วนั่นเอง ดังนั้น แนะนำให้สอบถามจากแหล่งข้อมูลก่อนว่า การที่ราคาร่วงลงมาแบบนั้นเป็นเพราะอะไร พื้นฐานมันเปลี่ยนไปหรือไม่ ถ้าร่วงเพราะพื้นฐานเปลี่ยนก็ควรตัดใจขายทิ้ง แต่ถ้าไม่ใช่ก็ให้ใจเย็นๆ แล้วรอจังหวะเข้าเก็บครับ

ข่าวอสังหาริมทรัพย์ : ย้อนรอยฟองสบู่ประเทศไทยกับปัจจัยที่คุณอาจยังไม่รู้?

 

3. ลงทุนแล้วกำไรหน่อยเดียวก็เอา
หลายคนลงทุนในลักษณะที่ว่า ขอเข้าไปเคาะซื้อ เคาะขายสักหน่อยดีกว่าเผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น ซึ่งถือเป็นอคติโน้มเอียงไปว่าขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างเผื่อจะดีขึ้น จริงๆ แล้วพบว่าคนที่ลงทุนแล้วรวยหรือประสบความสำเร็จมักอดทนพอที่จะถือยาวได้ อย่างกรณีของนักลงทุนท่านหนึ่งคือ เซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน ซึ่งประสบความสำเร็จจากการลงทุนหลังกล้าเข้าซื้อหุ้นตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นตลาดหุ้นร่วงถึงขั้นเลือดสาดเต็มกระดาน โดยท่านใช้วิธีอดทนรอให้หุ้นขึ้นไปจนทำกำไร 300% ในเวลา 4 ปีแล้วค่อยขาย ซึ่งหากเป็นนักลงทุนอย่างเราๆ คงอดใจรอจนถึง 4 ปีไม่ได้แน่ๆ ครับ

เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ลงทุนแล้วได้กำไรน้อย ขาดทุนเยอะ พร้อมกับแนวทางแก้ไขไปแล้ว ลองนำคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ หรือลองถามตัวเองสักสองข้อว่า “หากหุ้นร่วงแรงๆ ในภาวะที่ทุกอย่างดูเป็นวิกฤต เราจะกล้าเข้าซื้อไหม” และ “หากหุ้นขึ้นมาแล้ว เราจะอดทนรอให้กำไรงอกงามเต็มที่ก่อน โดยไม่ใจเร็วตัดขายก่อนไหม” หากตอบว่าไม่ใช่ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เราจะได้รู้ตัวเองและหาวิธีปรับแก้กันต่อไปเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ขอให้ประสบความสำเร็จจากการลงทุนกันทุกคนครับ

 

ติดตามข่าวอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์, PhD K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ