“ศึกษาแบบประกันอย่างละเอียดว่าคุ้มครองอะไรบ้าง ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง และความคุ้มครองจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพื่อป้องกันปัญหาการเบิกเคลมค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง” – K-Expert
สุขภาพดี ใครๆ ก็อยากมี ดังสุภาษิตที่ว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” เพราะสุขภาพกายที่แข็งแรงนำไปสู่สุขภาพจิตที่สดใส แต่ต้องยอมรับว่า คนเรามีโอกาสเผชิญกับการเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ บางโรคมีค่ารักษาสูงถึงหลักแสน หลักล้าน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจกระทบกับเงินเก็บออมของเราได้ จึงมีความจำเป็นที่เราต้องมีการบริหารจัดการกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น แนวทางหนึ่ง ก็คือ “การทำประกันสุขภาพ”
แต่จะซื้อประกันสุขภาพทั้งที ก็ควรซื้อแล้วคุ้มกับเงินที่จ่ายไป โดย K-Expert มีคำแนะนำในการซื้อประกันสุขภาพมาฝาก ดังนี้
ซื้อเพิ่มเติมจากความคุ้มครองที่มีอยู่
ประกันสุขภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ แบบแยกค่าใช้จ่าย และ แบบเหมาจ่าย โดยประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่ายจะมีวงเงินคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแยกเป็นรายการๆ เช่น ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าแพทย์ ค่าผ่าตัด ค่ายา ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ส่วนประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะกำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง ไม่ได้แยกย่อยเป็นรายการๆ เหมือนประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย
โดยก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ ควรสำรวจสวัสดิการด้านต่างๆ ของตนเองก่อนว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการที่ได้จากองค์กรที่ทำงาน หรือสวัสดิการจากภาครัฐ เช่น กองทุนประกันสังคม (บทความเพิ่มเติม : สวัสดิการรักษาพยาบาลที่มนุษย์เงินเดือนควรรู้) แล้วค่อยซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติม เช่น ค่าห้องของโรงพยาบาลที่คาดว่าถ้าเจ็บป่วยจะเข้ารับการรักษาอยู่ที่ 5,000 บาท ซึ่งสวัสดิการมีวงเงินค่ารักษาพยาบาลในส่วนค่าห้องให้คืนละ 2,000 บาท ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพที่มีวงเงินค่าห้อง 3,000 บาท หรือถ้ามองว่าวงเงินค่ารักษาจากสวัสดิการอาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าผ่าตัด ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพเพื่อให้ตัวเองมีความคุ้มครองมากขึ้น เป็นต้น
ซื้อตอนที่สุขภาพแข็งแรงดี
หลายคนมักคิดว่า “ไม่ได้เจ็บป่วยบ่อย ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันสุขภาพ” แต่จริงๆ แล้ว เราควรทำประกันสุขภาพตั้งแต่ตอนที่สุขภาพแข็งแรงดี เพราะเมื่อเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้ว บริษัทประกันอาจไม่รับทำประกัน หรือรับทำแต่ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่ เช่น เคยป่วยเป็นโรคเบาหวานมาก่อนการทำประกัน บริษัทจะไม่คุ้มครองหากผู้ทำประกันต้องรักษาตัวด้วยโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ควรทำประกันตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่มาก เพราะเมื่ออายุมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บมักตามมาเป็นเงาตามตัว โอกาสที่บริษัทจะรับทำประกันก็น้อยลง รวมถึงประกันสุขภาพบางกรมธรรม์ก็เอื้อให้เราสามารถทำประกันสุขภาพได้ถึงอายุมาก เช่น 80 ปี หรือตลอดชีวิต แต่จะต้องมีการทำประกันมาก่อนหน้านั้น แล้วเป็นลักษณะของการต่ออายุในแต่ละปี ซึ่งจะไม่สามารถมาซื้อได้เลยทันทีเมื่ออายุมากถึง 80 ปีแล้ว ดังนั้น ถ้าต้องการให้ตัวเองมีความคุ้มครองสุขภาพเมื่ออายุมากขึ้น ก็ควรวางแผนทำประกันสุขภาพเอาไว้แต่เนิ่นๆ
ซื้อแบบที่จ่ายเบี้ยประกันไหว
แน่นอนว่าถ้าต้องการซื้อประกันสุขภาพให้มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้มากที่สุด ก็ต้องเลือกแบบประกันที่มีความคุ้มครองสูง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น จึงควรสำรวจการเงินของตัวเองก่อนว่าจ่ายเบี้ยไหวหรือไม่ และที่สำคัญ ถ้าจะต่ออายุประกันสุขภาพจนถึงตอนที่เราอายุมากขึ้น หรือเป็นช่วงเกษียณอายุแล้ว อย่าลืมพิจารณาว่าค่าเบี้ยประกันในแต่ละปีซึ่งปรับเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น และความเสี่ยงในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่มากขึ้น เป็นจำนวนเงินที่สูงเกินกำลังความสามารถของเราหรือไม่ วิธีคำนวณเงินเพื่อรับมือวัยเกษียณ
รวมถึงอาจต้องกันเงินสำหรับจ่ายค่าเบี้ยประกันในแต่ละปีเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้ามองว่า เบี้ยประกันสูงเกินกำลังที่จ่ายไหว ก็สามารถไม่ทำประกันในปีต่อไปได้ หรืออาจเลือกแบบประกันสุขภาพที่เบี้ยประกันลดลงอยู่ในความสามารถที่จ่ายไหว แต่วงเงินความคุ้มครองก็จะลดลง
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่าการทำประกันสุขภาพเสมือนเป็นการช่วยปกป้องเงินเก็บของเราที่อาจต้องจ่ายไปเป็นค่ารักษาพยาบาลในอนาคต เพราะฉะนั้นอย่าลืมศึกษารายละเอียดความคุ้มครองของประกันสุขภาพแต่ละแบบ เพื่อเลือกให้เหมาะกับความต้องการของตัวเองหรือครอบครัวมากที่สุด
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com