จากข่าวคราวที่เพิ่งออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเกี่ยวกับเรื่องการเรียกเก็บภาษีเน็ตไอดอลและเพจดังตาม Facebook รวมถึงธุรกิจกึ่งบันเทิงทางออนไลน์ เช่น แอพพลิเคชั่นบีโกไลฟ์ โดยกรมสรรพากร ต้องบอกเลยว่าถือเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจพอสมควร เพราะมีหลายคนที่ตั้งข้อสงสัยว่ากลุ่มผู้ทรงอิทธิพลทางโซเชียลกลุ่มนี้มีการเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฏหมายเหมือนมนุษย์เงินเดือนตาดำๆ อย่างเราหรือไม่ แล้วอาจจะสงสัยต่อไปอีกว่าถ้าหากเสียควรเสียอย่างไรเท่าไหร่ วันนี้ DDproperty นำบทความจาก AomMoney มาช่วยไขข้อสงสัยและแนะวิธีการเสียภาษีที่ถูกต้องของคนกลุ่มดังกล่าว
สวัสดีครับ!! กลับมาพบกันอีกครั้งกับผม TAXBugnoms คนเก่าคนเดิม เพิ่มเติมด้วยบทความประจำสัปดาห์เหมือนเคยครับผม สำหรับบทความในตอนนี้นั้น คือ เรื่องที่กำลังฮอตฮิต ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่ใครหลายคนสงสัยกันมานาน นั่นคือ “เน็ตไอดอล” ทั้งหลายนั้น เสียภาษีหรือเปล่า ว่ะฮะฮ่า!!
ก่อนจะอ่านต่อไป ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า เรื่องนี้พรี่หนอมจะไม่ยุ่งว่าใครจะเสียไม่เสีย มันเป็นเรื่องของเขา แต่จากข่าวที่บอกมาว่า พี่สรรพากรจะมารีด เอ้ย เรียกเก็บภาษีกันน่ะสิ ซึ่งหลายๆ คนคงสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่าว่า ถ้าหากอยากจะเสียภาษีให้ถูกต้อง เน็ตไอดอลทั้งหลายนั้นควรทำยังไงกันดี
จากการที่เป็นคนคลุกคลีในวงการขายครีม ไม่ใช่! วงการทำงานออนไลน์ต่างๆ ผมขอแยกประเภทรายได้หลักๆ ของเน็ตไอดอลออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันครับ นั่นคือ
เขียน – ขาย – โชว์
โดยแต่ละแบบก็มีการคำนวณภาษีแตกต่างกันออกไป แต่ลำดับแรกคงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องกันก่อนครับว่า ไม่ว่าจะรายได้แบบไหนก็ตาม ย่อมมีหน้าที่เสียภาษีกันทั้งนั้น ครับผม แล้วหลังจากนั้นค่อยมาดูกันว่าแต่ละอย่างจะเป็นอย่างไร เอาล่ะ … เรามาดูกันเลยครับ
• รายได้จากการเขียน
ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Review หรือ Advertorial หรือ Sponsor Post ใน Page Tweet Instagram ต่างๆ ที่แล้วแต่จะเรียกกันนั่นแหละครับ ซึ่งตรงนี้จะถือว่าเป็น รายได้ประเภทที่ 2 ตามกฎหมาย (นั่นคือ งานรับจ้าง เหมือนกับฟรีแลนซ์ทั่วไปนี่แหละครับ)
• รายได้จากการขาย
แนวขายของพวก ครีม ยา อาหารเสริม วิตามิน หรือของทั้งหลาย โดยปกติจะเป็นรูปแบบของการซื้อมาขายไปมากกว่าประเภทอื่น ซึ่งตรงนี้จะถือว่าเป็นรายได้ประเภทที่ 8 ตามกฎหมาย และใช้วิธีการคำนวณภาษีเหมือนกับการขายของออนไลน์นั่นแหละครับ
• รายได้จากการโชว์
แนว Event หรือออกงาน แต่ตรงนี้ต้องแยกให้ดีครับว่า เป็นงานโชว์ประเภทไหน ถ้าไปร่วมงานธรรมดา หรือ โชว์ตัวทั่วไป แบบนี้ยังคงถือว่าเป็นรายได้ประเภทที่ 2 ตามกฎหมายเหมือนเคย (งานจ้าง) ซึ่งหลักการคำนวณนั้นจะเหมือนกับการรายได้จากการเขียนนั่นเองครับ
แต่อาจจะมีบางกรณีสำหรับเน็ตไอดอลที่โด่งดัง หรืองานใหญ่ขึ้น จนกลายสภาพเป็น “นักแสดงสาธารณะ” ซึ่งแบบนี้จะเป็นรายได้ประเภทที่ 8 แทนแล้วครับ
โดยคำว่า นักแสดงสาธารณะ หมายความถึง นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใดๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ เช่น นักแสดงละครเวที ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์คโชว์ และ นักกีฬาอาชีพ
หลังจากอธิบายไปแล้ว เรามาดูสรุปสั้นๆแบบเข้าใจง่ายและอธิบายความแตกต่างตามตารางด้านล่างนี้กันครับ
ทีนี้ลองมาคำนวณกันคร่าวๆบ้างดีกว่าครับ สมมุติว่า ในปีนี้ เน็ตไอดอลสามคน มีรายได้จากงานแต่ละงานแตกต่างดังนี้
1) งานเขียนและโชว์ตัวปกติ จำนวน 1 ล้านบาท
2) ขายของออนไลน์จำนวน 1 ล้านบาท
3) นักแสดงสาธารณะจำนวน 1 ล้านบาท
โดยเน็ตไอดอลทั้งสามคนนี้ ไม่มีรายการค่าลดหย่อนเพิ่มเติมใดๆ นอกจากค่าลดหย่อนส่วนตัวจำนวน 30,000 บาทเท่านั้นครับผม
จะเห็นได้ว่าถ้าหากไม่มีค่าลดหย่อนเพิ่มเติมใดๆแล้ว เน็ตไอดอลกรณีที่ที่รับงานจ้าง (ประเภทที่ 2) จะต้องเสียภาษีและคำนวณได้ไม่แตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วไปสักเท่าไรใช่ไหมครับ (อ่านบทความเกี่ยวกับมนุษย์เงินเดือนเพิ่มเติม ทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมฉบับใหม่ , แล้วเงิน 750 ที่จ่ายประกันสังคมไปทำไมเบิกยาก และการปรับภาษีโครงสร้างเงินเดือนใหม่ส่งผลอะไรต่อมนุษย์เงินเดือนบ้าง)
ทีนี้มาดูกันต่อครับสมมติว่า ถ้าหากเน็ตไอดอลคนเดียวมีรายได้จากหลายๆทางแทน การคำนวณภาษีก็จะเป็นแบบนี้ครับ
เมื่อมาถึงตรงนี้ หากเน็ตไอดอลทั้งหลายไม่อยากเสียภาษีเยอะ ผมคิดว่าควรต้องเริ่มต้นจากการที่จะวางแผนภาษีโดยหักค่าลดหย่อนต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น อาจจะมีการซื้อกองทุน LTF RMF หรือ ประกันชีวิต เพิ่มเติมเพื่อลดหย่อนภาษี แบบนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งไว้ที่จะช่วยให้พิจารณาครับ
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่ากรณีที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้วนั้น ก็ไม่ได้แปลว่ามันจบสิ้นการเสียภาษีแต่อย่างใด แต่ขอเน้นไว้อีกทีนะครับว่า ยิ่งถูกหักไว้ยิ่งต้องยื่น เพราะพี่สรรพากรรู้แล้วจ้าว่าเรามีรายได้ และเราจะมาอ้างไม่ได้นะว่าไม่รู้กฎหมาย
ยังไม่จบเพียงแค่นี้!! ยังเหลือภาษีมูลค่าเพิ่มอีกนะจ๊ะ
ทีนี้สิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติม มีอีก 2 ประเด็นครับ นั่นคือ วิธีการคำนวณภาษีในกรณีที่มีเงินได้มากกว่า 1 ล้านบาท และ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ต้องทำอย่างไร มาดูกันต่อเลยครับ
1) ในกรณีมีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี (จากรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน) จะต้องคำนวณภาษีอีกวิธีหนึ่งมาเปรียบเทียบกัน นั่นคือนำ รายได้ x 0.5% แล้วมาเปรียบเทียบกันกับวิธีคำนวณตามปกติ และเสียภาษีตามวิธีที่สูงกว่าครับ
2) กรณีมีรายได้จากงานเขียน / โชว์ตัวทั่วไป และ ขายของออนไลน์ มากกว่า 1.8 ล้านบาท เน็ตไอดอลเหล่านี้ล้วนมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยครับ (แต่กรณีนักแสดงสาธารณะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มครับ)
สุดท้ายก่อนจากกัน ผมขอสรุปสั้นๆให้อีกครั้งสำหรับทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเน็ตไอดอลหรือไม่ก็ตาม โปรดจงรับรู้ไว้ครับว่า
การมีรายได้นั้นถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้วครับ
และการถูกหักภาษีไว้ในกรณีต่างๆ ถือว่าเป็นการบอกให้ทางพี่ๆ สรรพากรรับรู้ว่าเรามีรายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกันครับ หลังจากนั้นเราค่อยมาดูกันต่อครับว่า จะเสียภาษียังไง และเสียภาษีแบบไหนให้ถูกต้อง
ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการที่จะมาถกเถียงกันว่าเราเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ หรือเราต้องเสียภาษีบ้างไหม มันคือเรื่องของการเข้าใจหลักการของกฎหมายนั่นเองครับ บางทียอดขายต่างๆที่เราตั้งใจโชว์ในหน้า Facebook นั้น (ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม) มันอาจจะกลายเป็นหลักฐานผูกมัดการมีรายได้ของเราไว้โดยที่ไม่รู้ตัว
ดังนั้น ทำให้ถูกต้องและเข้าใจภาษีให้ครบถ้วน ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า และทุกคนควรนำไปพิจารณาให้เหมาะสมครับ ท้ายที่สุดแล้ว ผมหวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ผมคงต้องลาไปก่อน สวัสดีคร้าบบบ
เขียนโดย : TAXBugnoms
Facebook :TaxBugnoms
จาก AomMoney.com : เนตไอดอลคนดี ควรเสียภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง!!