ไขข้อสงสัย สิทธิลูกหนี้ที่ถูกยึดทรัพย์มีมากน้อยแค่ไหน?

17 ต.ค. 2560

“สิ่งที่ตามมาเมื่อผิดนัดชำระหนี้คือ ประวัติการชำระหนี้ที่เสียไป ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตทำได้ยากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีภาระหนี้แล้ว การชำระหนี้ให้ตรงเวลาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด” 

เมื่อมีภาระหนี้สินที่สูง จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทรัพย์สินลำดับแรกๆ ที่จะถูกยึดและขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้คือ ทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันไว้กับเจ้าหนี้ เช่น บ้าน รถยนต์ หากทรัพย์ดังกล่าวไม่เพียงพอกับยอดหนี้ เจ้าหนี้ก็จะมีสิทธิยึดทรัพย์และอายัดเงินเดือนได้ ล่าสุดได้มีการประกาศแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการยึดและอายัดทรัพย์ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งลูกหนี้จะมีสิทธิในทรัพย์และเงินเดือนของตนมากน้อยเท่าไรนั้น K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้สรุปมาให้ดังนี้

เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ทั้งหมดของเราได้หรือไม่

40437313_xxl.original

เมื่อเป็นหนี้ ไม่ได้หมายความว่า เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์ทั้งหมดที่เรามี โดยกฎหมายได้ให้ความคุ้มครองลูกหนี้ จึงมีการกำหนดห้ามยึดทรัพย์ดังต่อไปนี้
• เครื่องนุ่งห่มหลับนอน เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือของใช้ส่วนตัว รวมกันไม่เกิน 20,000 บาท
• สัตว์ สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
• สัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ และอุปกรณ์จำเป็น ที่ทำหน้าที่ช่วยหรือแทนอวัยวะของลูกหนี้
• ทรัพย์สินที่เป็นของส่วนตัวอย่างแท้จริง เช่น หนังสือสำหรับวงศ์ตระกูลโดยเฉพาะ จดหมาย สมุดบัญชีต่างๆ
• ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย

จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่ทรัพย์ทุกอย่างที่เจ้าหนี้สามารถยึดไปจากลูกหนี้ได้ ในส่วนของทรัพย์ที่สามารถยึดได้นั้น กระบวนการยึดทรัพย์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ส่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าพนักงานของกรมบังคับคดี ดำเนินการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไปขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้เจ้าหนี้

เจ้าหนี้อายัดเงินเดือนได้มากน้อยแค่ไหน

Sad man looking at wallet with money dollars flying away

ในส่วนของเงินเดือน กฎหมายได้ให้ความคุ้มครองกับลูกหนี้เช่นกัน เพื่อให้ลูกหนี้มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยมีการกำหนดการอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ดังนี้

• เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด ฯลฯ ที่ได้รับจากหน่วยราชการ ห้ามอายัด
• เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ เบี้ยเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ฯลฯ ที่ได้รับจากหน่วยงานภาคเอกชน เมื่อมีการอายัด ต้องให้ลูกหนี้มีเงินใช้จ่ายไม่น้อยกว่าเดือนละ 20,000 บาท หรือตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร
• เงินบำเหน็จหรือเงินชดเชยที่ลูกหนี้ได้รับจากหน่วยงานภาคเอกชน ลูกหนี้มีสิทธิในเงินส่วนนี้ไม่น้อยกว่า 300,000 บาท หรือตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร
• เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ลูกหนี้ได้รับจากความตายของบุคคลอื่น เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดูตามความจำเป็นในการดำเนินการฌาปนกิจศพ

จากข้อกฎหมายข้างต้น อาจทำให้ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน รู้สึกว่า ตนเองสามารถผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะเจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดเงินเดือนของตนเองได้ แต่ไม่อยากให้คิดเช่นนี้ เพราะสิ่งที่ตามมาเมื่อผิดนัดชำระหนี้คือ ประวัติการชำระหนี้ที่เสียไป ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตทำได้ยากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีภาระหนี้แล้ว การชำระหนี้ให้ตรงเวลาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ทั้งนี้ หากเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้มีส่วนได้เสีย ไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานคดีกำหนด สามารถยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากที่ทราบการกำหนดจำนวนเงิน เพื่อขอให้ศาลกำหนดจำนวนเงินใหม่ได้

เชื่อว่า ไม่มีใครอยากเป็นหนี้และถูกยึดทรัพย์ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราตกอยู่ในภาวะดังกล่าว การเรียนรู้สิทธิของตัวเองว่า เจ้าหนี้สามารถอายัดเงินเดือนและทรัพย์ได้มากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราดำรงชีวิตต่อไปในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีเงินเพื่อยังชีพเพียงพอที่จะหลีกหนีจากภาระหนี้ในอนาคต

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ปานตา ฉัตรมาศ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ