“มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดจากการสะสมผลกำไรของกองทุนรวม ไม่ได้บอกว่ากองทุนรวมมีราคาแพง”
เมื่อกล่าวถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หลายคนคงรู้จักกันดีว่าเป็นกองทุนรวมสำหรับลดหย่อนภาษี โดยก่อนลงทุนก็ต้องมีการศึกษากฎเกณฑ์และคำนวณสิทธิซื้อให้ดี จะได้ไม่ทำผิดเงื่อนไข ทั้งนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ผู้ลงทุนทำความเข้าใจ นั่นคือ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) โดยหลายคนมักเข้าใจผิดว่ากองทุนรวม LTF ที่มีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) สูงๆ ไม่น่าลงทุน ซึ่งไม่น่าสนใจลงทุนจริงหรือไม่นั้น K-Expert ธนาคารกสิกรไทย มีคำตอบมาฝาก
ขอทำความเข้าใจก่อนว่า มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) คืออะไร
มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม หารด้วย จำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจะใช้ราคาตลาดของทรัพย์สินหรือตราสารที่กองทุนรวมไปลงทุน รวมกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน หักด้วยค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ
สำหรับกองทุนรวม LTF ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จะทำการคำนวณมูลค่า NAV จากมูลค่าหุ้นที่กองทุนรวมถือลงทุนอยู่ โดยใช้ราคาตลาด (Market Price) ของหุ้นทุกตัว ณ สิ้นวัน คูณด้วย จำนวนหุ้นที่มีอยู่ รวมกับ มูลค่าตราสารหนี้ เงินฝาก รายได้ค้างรับ เงินสด ฯลฯ ที่มีอยู่ในกองทุนรวม ณ สิ้นวัน หักด้วยหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนที่มีทั้งหมดในวันนั้น แล้วประกาศออกมาเป็นมูลค่า NAV
ทั้งนี้ กล่าวได้ว่า ในการซื้อกองทุนรวม LTF ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักพิจารณาที่มูลค่า NAV โดยเข้าใจว่า กองทุนรวม LTF ที่มีมูลค่า NAV สูงกว่าอีกกองทุนหนึ่งไม่น่าลงทุน ซึ่งจัดเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากมูลค่า NAV ของกองทุนรวมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
– ราคาตลาดของหลักทรัพย์: มูลค่า NAV สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันขึ้นอยู่กับราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมถือลงทุนอยู่ ดังนั้น หากกองทุนมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้มูลค่า NAV ของแต่ละกองทุนแตกต่างกัน
– การเลือกและซื้อ/ขายหลักทรัพย์ของกองทุน: ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนในการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละตัว (Stock Selection) รวมถึงจังหวะในการซื้อ/ขายหลักทรัพย์ (Market Timing) โดยผู้จัดการกองทุนสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุนได้เรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าหลักทรัพย์หรือหุ้นตัวใดที่ถืออยู่มีมูลค่าสูงเกินไป ผู้จัดการกองทุนจะขายทำกำไร แล้วเปลี่ยนไปลงทุนในหลักทรัพย์ตัวใหม่ที่พิจารณาแล้วว่ามีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตได้
– นโยบายการจ่ายเงินปันผล: การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนจะทำให้มูลค่า NAV ลดลง เนื่องจากเงินปันผลจะถูกจ่ายจากกำไรสุทธิ หรือกำไรสะสมของกองทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณมูลค่า NAV
– ช่วงเวลาที่จัดตั้งกองทุน: หากกองทุนรวมมีการจัดตั้งขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้มูลค่า NAV ของกองทุนรวมแต่ละกองมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นในปี 2549 ณ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ระดับ 600 จุด ส่งผลให้กองทุนรวมดังกล่าวมีมูลค่า NAV สูงกว่าอีกกองทุนหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นในปี 2553 ณ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,000 จุด ซึ่งไม่ได้หมายความว่า กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นในปี 2549 จะมีมูลค่า NAV ที่แพงกว่าอีกกองทุนหนึ่ง
ดังนั้น มูลค่า NAV ที่สูงไม่ได้บอกว่า กองทุนรวมมีราคาแพง เพราะมูลค่า NAV เป็นตัวเลขที่เกิดจากการสะสมผลกำไรของกองทุนรวม และเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า กองทุนรวมที่มีมูลค่า NAV สูงกว่าอีกกองทุนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่า ไม่น่าสนใจลงทุน โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
ยกตัวอย่าง ซื้อกองทุนรวม LTF 2 กองทุน คือ LTF-A และ LTF-B กองทุนละ 100,000 บาท โดยกองทุนรวม LTF-A มี NAV 10 บาท ส่วนกองทุนรวม LTF-B มี NAV 20 บาท ถ้าหุ้นในกองทุนรวมทั้งสองเหมือนกัน และมีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน การซื้อกองทุนรวม LTF ไม่ว่าจะกองทุนไหนก็ไม่แตกต่างกัน แสดงได้ดังนี้
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในกองทุนรวมที่มีมูลค่า NAV สูงกว่าไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนรวมที่มีมูลค่า NAV ต่ำกว่า ดังนั้น ความคิดที่ว่า กองทุนรวมที่มีมูลค่า NAV สูงๆ ไม่น่าสนใจลงทุน เพราะลงทุนแล้วได้รับจำนวนหน่วยลงทุนน้อยกว่าจัดเป็นความเข้าใจผิด
การเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สักกองทุนหนึ่ง ควรพิจารณาที่นโยบายการลงทุน และสินทรัพย์ที่กองทุนถือลงทุน ซึ่งจะสะท้อนโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในอนาคต โดยมูลค่า NAV ที่สูงหรือต่ำนั้นไม่ได้บอกว่าผู้ลงทุนจะได้รับกำไรหรือผลตอบแทนจากการลงทุนมากหรือน้อย
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com