BANGKOK Smart City เมืองแห่งโลกอนาคต

15 พ.ย. 2560

“เมืองอัจฉริยะ” หรือ สมาร์ต ซิตี้ (Smart City) เป็นเทรนด์การพัฒนาเมืองยุคใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ให้เมืองมีความน่าอยู่มากขึ้น เชื่อมโยงให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณะที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงานของเมือง และทำให้เศรษฐกิจเติบโตควบคู่กันไป

หลักการและเหตุผลการเป็น “เมืองอัจฉริยะ” หรือ “Smart City”
จากจำนวนประชากรโลกที่มีจำนวน 7,400 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 9,600 ล้านคนในปี พ.ศ. 2593 โดย 2 ใน 3 หรือประมาณกว่า 6,400 ล้านคนจะอาศัยอยู่ในชุมชนเมือง ทำให้เมืองมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรจำกัดและก่อให้เกิดปัญหา จึงมีความจำเป็นในการส่งเสริมให้ชุมชนเมืองมีระบบการขนส่งและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ มีสุขพลานามัยที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย รองรับสังคมในอนาคต

องค์ประกอบของ Smart City และการเริ่มพัฒนาในไทย

Smart City มี 7 ส่วนประกอบ คือ Smart Economy, Smart Tourism, Smart Safety, Smart Environment, Smart Healthcare, Smart Education และ Smart Governance ซึ่ง Smart City เป็นกระแสที่กำลังมีการพัฒนากันทั่วโลก สำหรับประเทศไทย เริ่มแนวคิดที่จะพัฒนาสู่การเป็น Smart City มาตั้งแต่ 2546

เป้าหมายแรกที่รัฐบาลปักหมุดให้เป็นเมืองต้นแบบคือ “ภูเก็ต” โดยรัฐบาลต้องการจะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้มุ่งไปสู่ “5 อี” ได้แก่ อีโซไซตี้, อีเลิร์นนิ่ง, อีซิติเซ่น, อีเอดูเคชั่น และอีคอมเมิร์ซ ด้วยการวางโครงข่าย ไฟเบอร์ออปติกให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเพื่อให้ภูเก็ตเป็นยิ่งกว่าเมืองแห่งการท่องเที่ยว

เหตุที่ภาครัฐเริ่มโครงการ Smart City ที่เกาะภูเก็ต เนื่องด้วยขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่จนเกินไป และโครงสร้างประชากรในพื้นที่ที่มีอยู่เพียง 378,364 คน แต่มีนักท่องเที่ยวในปี 2557 สูงถึง 11,855,000 คน หรือคิดเป็น 3 เท่าของประชากรในพื้นที่ และในจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นต่างชาติถึง 70% จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการดึงต่างชาติที่มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้เข้ามาจัดตั้งบริษัทหรือสาขาที่ภูเก็ต เอื้อต่อการผลักดันให้ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัล (Digital Hub)

จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกจังหวัด ที่มุ่งมั่นสู่การเป็น Smart City โดยเน้นการพัฒนาในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เศรษฐกิจสังคมดีขึ้น เน้นการใช้เทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมให้ดีขึ้น เพื่อรองรับประเทศไทย 4.0 โดยใช้แนวคิดในการขับเคลื่อน 7 สมาร์ท ได้แก่ 1.Smart People 2.Smart Living 3.Smart Environment 4.Smart Economy 5.Smart Mobility 6.Smart Governance และ 7.Smart Education

กรุงเทพฯ หวัง ขับเคลื่อนสู่ความเป็น Smart City

“กรุงเทพมหานคร” ก็มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนเมืองสู่ความเป็น Smart City เหมือนกับเมืองอื่นๆ เช่นกัน โดยมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้เป็น Smart City และตั้งเป้าที่จะทำให้พื้นที่ 1 ใน 10 ส่วนของเมือง เป็นพื้นที่ธุรกิจ ศูนย์การค้า ทำให้ธุรกิจและชุมชนใกล้ชิดกัน และส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว การจ้างงานในชุมชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้สะดวก ปลอดภัย

โครงการที่บ่งบอกถึงความเป็น Smart City ใน กทม. ได้แก่ Wi-Fi ในพื้นที่สาธารณะ กล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) จำนวนกว่า 50,000 ตัว ที่เชื่อมโยงข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัย ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ การพัฒนาระบบขนส่งโดยสารสาธารณะ มีพื้นที่จอดแล้วจร (Park&ride) ส่งเสริมการใช้จักรยาน

นอกจากนั้นยังมี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นิด้า (NIDA) ต้นแบบมหาวิทยาลัยอัจฉริยะในพื้นที่ 44 ไร่ กับโครงการ “Smart Compact City” เมืองอัจฉริยะ รู้รักษ์พลังงานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พัฒนาที่ดิน 291 ไร่บริเวณสวนหลวง-สามย่าน ให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างของ “เมืองอัจฉริยะ” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พัฒนาสู่การเป็นต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ รวมถึงแผนพัฒนาที่ดินย่านมักกะสันกว่า 745 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็มีแนวทางที่จะพัฒนาให้เป็น Smart City ด้วย

ความท้าทายสำคัญที่ต้องฝ่าไปให้ได้ 

Setting and achieving a goal

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองให้เป็น Smart City ไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน เพราะนั่นเป็นเพียงการเสริมให้บางสิ่งบางอย่างดีขึ้น แต่หัวใจสำคัญของการพัฒนา Smart City คือการวางกรอบความคิดให้ชัดเจน เข้าใจปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ได้ตรงจุด ร่วมกันออกแบบระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเมืองนั้นๆ โดยต้องตอบโจทย์ให้ถูกว่าต้องการแก้ปัญหาอะไรและจะก้าวไปสู่จุดใดเป็นสำคัญ มองเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วจึงเลือกว่าจะทำให้เมืองก้าวสู่การเป็นอัจฉริยะในด้านใด

ขณะเดียวกันต้องมีการปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะข้อกฎหมาย ทั้งระหว่าง กทม. กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และข้อกฎหมายของกระทรวงอื่น หรือแม้แต่จากภาครัฐเอง ที่ยังมีความขัดแย้ง ทำให้ไม่สามารถทำงานบูรณาการร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบขนส่งที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับประชากรทุกกลุ่ม อีกทั้งยังขาดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันก็ยังขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดีพออีกด้วย ดังนั้นการก้าวสู่การเป็น Smart City อย่างแท้จริงของกรุงเทพมหานคร จึงยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย

ไทยตั้งเป้าจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20%-25% ภายในปี 2573 โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในแผนพลังงานของประเทศให้มากขึ้นและพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพระราชทานมากว่า 50 ปีแล้ว ในรูปแบบ ประชารัฐ ด้วยความร่วมมือของประชารัฐ เอกชน ประชาสังคม เอ็นจีโอ และประชาชนอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของประเทศที่เหมาะสม และสอดคล้องกับการดำเนินการให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี 2573 ของสหประชาชาติ

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : สถาบันอาคารเขียวไทย 

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

อสังหาฯ ยุค New Normal โอกาสในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว

หลายคนคงได้ยินคำว่า New Normal กันมาบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก New Norma

อ่านต่อ15 พ.ย. 2560