ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยต่อภาคอสังหาฯ ลด สวนกระแสตลาดเพื่อนบ้าน

3 เม.ย. 2560

DDproperty เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 ลดเหลือเพียง 62% จาก 68% ในปีก่อนหน้า ผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และแบงก์เข้มงวดในการปล่อยสิน ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซียเพิ่มขึ้น

Consumers Confidence Towards Real Estate Climate_TH
PropertyGuru เว็บไซต์สื่อกลางด้านการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียได้ทำแบบสำรวจออนไลน์ ในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกและผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ใน 4 ประเทศได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมทั้งสิ้น 3,255 คนพบว่า ผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียมีความพึงพอใจต่อสภาวะอสังหาฯ ในประเทศตนมากที่สุด โดยดัชนีความเชื่อมั่นขยับขึ้น 5% เป็น 66% จากปีก่อน โดยผู้บริโภคแดนอิเหนามองว่าราคาอสังหาฯ ในอินโดนีเซียมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นในอนาคต ด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวมาเลเซียก็ขยับขึ้นเช่นกันจาก 28% ในปีก่อนเป็น 38% ในปีนี้ ขณะที่ชาวสิงคโปร์ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจของประเทศตนอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม มีดัชนีความเชื่อมั่นขยับเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปีที่แล้วเป็น 36% ในปีนี้

ในขณะที่ไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในรอบสำรวจนี้ที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาคอสังหาฯ ลดลง อันเป็นผลมาจาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี (55%) อสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงจนเกินไป (52%) ราคาอสังหาฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป (46%) การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของธนาคาร (30%) และสภาวะที่ไม่แน่นอนในตลาดอสังหาฯ (25%) (รูป1: 5 สาเหตุที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตลาดอสังหาฯ)

Figure1_Top 5 Reasons for Dissatisfaction with Real Estate Climate_TH

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจไทยเกือบ 50% มีแผนที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้ซื้อชาวมาเลเซียมีแผนจะซื้ออสังหาฯ มากกว่า โดยอยู่ที่ 58% ตามด้วยอินโดนีเซีย 52% ในขณะที่ชาวสิงคโปร์มีแนวโน้มจะซื้ออสังหาฯ ในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้น้อยที่สุดเพียง 42% เท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคแดนลอดช่องมองว่าราคาอสังหาฯ จะปรับตัวลดลงในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเนื่องจากผู้ประกอบการในสิงคโปร์พากันตัดราคา เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าต่ออายุ และค่าปรับจากห้องชุดที่ขายไม่หมด แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ผู้ซื้อในสิงคโปร์จะสามารถซื้ออสังหาฯ ได้ในราคาที่ถูกลง

ด้านอัตราการถือครองอสังหาริมทรัพย์ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวสิงค์โปร์มีการถือครองน้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ประเทศที่ 60% ตามมาด้วย ไทย 65% มาเลเซีย 66% และอินโดนีเซีย มีอัตราการถือครองสูงสุดอยู่ที่ 82%

Intention to Purchase Any Residential Property Over the Next 6 Months_TH
ทั้งนี้ ผู้บริโภคชาวไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งเป็นสำคัญในการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ สักแห่ง ในขณะที่ชาวสิงคโปร์คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด (รูป2: 5 ปัจจัยสำคัญที่ใช้พิจารณาประกอบการซื้ออสังหาริมทรัพย์)

Figure2_5 Key Factors Considered when Buying Residential Properties_TH
หากมองถึงชนิดของอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดภายในอีก 6 เดือนข้างหน้า ผู้ตอบแบบสอบถามทั้ง 4 ประเทศให้ความสนใจทั้งสินทรัพย์ใหม่และสินทรัพย์มือสองมากที่สุด แต่สำหรับในประเทศสิงคโปร์ บ้านมือสองได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากราคาไม่สูงเกินไป สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า

Type of Property Looking to Purchase in the Next 6 Months_TH
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงถึงเงินทุนที่แตกต่างกันในกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ระดับราคาอสังหาฯ ที่ผู้ซื้อชาวไทยต้องการซื้อมากที่สุด ได้แก่ ราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 34% ตามด้วยระดับราคา 3-4 ล้านบาท (16%)  และราคา 5-8 ล้านบาท (15%)

ชาวสิงคโปร์ 25% ต้องการซื้ออสังหาฯที่ราคาประมาณ 250,000-500,000 เหรียญสิงคโปร์ (6.25-12.5 ล้านบาท) และชาวมาเลเซีย 38% ต้องการซื้ออสังหาฯในราคา 300,000-500,000 ริงกิตมาเลซีย (2-3.5 ล้านบาท) ส่วนชาวอินโดนีเซียกว่า 50% ต้องการซื้อบ้านที่ราคา 500 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย หรือต่ำกว่า 1 ล้านบาท (รูป3: งบประมาณเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า)

Figure2_5 Key Factors Considered when Buying Residential Properties_TH
ด้านระยะเวลาพักอาศัยโดยเฉลี่ย ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีแนวโน้มที่จะอยู่ในบ้านที่ตนซื้อเป็นเวลาประมาณ 12 ปี ชาวสิงคโปร์และอินโดนีเซียที่ 11 ปี และมาเลเซียที่ 9 ปีเท่านั้น

Average Length of Stay in the Premise after Purchase_TH
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย DDproperty กล่าวว่า “ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาคอสังหาฯ จำเป็นต้องมีปัจจัยหนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น การลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐบาล รายได้ประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ และหนี้ครัวเรือนที่ลดลง ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงมองว่าราคาอสังหาฯในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมา สภาพตลาดอาจไม่เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันที่อยู่อาศัยมิได้เป็นเพียง 1 ในปัจจัยสี่อีกต่อไป แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้อนาคต”

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

ไทยขึ้นแท่นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ แบงค์ไทยพาณิชย์แนะคนไทยเริ่มออมเร็วขึ้น หลังสยาม

อ่านต่อ17 มิ.ย. 2558

ผู้บริโภคโอดไม่ได้รับประโยชน์มากพอจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ปี 59

DDproperty เผยผลสำรวจ ผู้บริโภค 47% รู้สึกว่านโยบายหรือมาตรการกระตุ้นและสนับสน

อ่านต่อ2 ก.พ. 2560