ธุรกิจอสังหาฯจะกลับมาพีคสุด ในช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากความชัดเจนของการลงทุนภาครัฐโดยโครงการรถไฟฟ้าเริ่มเปิดหน้าดินก่อสร้างหลายสายเช่น สายสีชมพู และสายสีเหลือง และสายสีส้ม เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะมีการลงทุนมากยิ่งขึ้นตามแนวสาธารณูปโภคโดยเฉพาะโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่ขยายออกตามชานเมือง
สอดรับของกับนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส1/2560 เริ่มมีทิศทางที่ฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น โดยมีปัจจัยจากความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐโดยเฉพาะการลงทุนในส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าซึ่งเป็นผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่าจะทำให้ตลาดอสังหาฯในช่วงไตรมาส 2 นี้ น่าจะขยายตัวได้ดีมากขึ้น
“ลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯจะเป็นกลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบ อายุเฉลี่ย 23 – 30 ปีเศษ ก็ต้องการซื้อบ้านหลังแรกที่เป็นคอนโดฯ แต่ราคาไม่เกินกำลังซื้อต่อห้องราคา 1.5 ล้านบาทไม่เกิน 3 ล้านบาท และไม่จำเป็นต้องเป็นคอนโดฯที่อยู่ทำเลใจกลางเมืองเสมอไป เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ณ วันนี้ กระจายเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกพื้นที่แล้ว”
ที่ผ่านมาออริจิ้นเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นกว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้าของเรา คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส2 นั้นในโอกาสที่บริษัทดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 9 ได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท เพื่อจัดทำแบรนด์ดิ้งแคมเปญภายใต้แนวคิด”My Life My Origin”หรือ”ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นใหม่มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของบริษัทและคอนโดมิเนียมแต่ละแบรนด์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ให้นายณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งมีบุคลิกที่สอดคล้องกับแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้ง 3 แบรนด์ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญ My Life. My Origin ด้วยค่าตัวกว่า 8 หลักด้วย
อย่างไรก็ดี การดำเนินธุรกิจมาตลอด 8 ปี กับการพัฒนาโครงการ 35 โครงการ รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาท มียอดขายรวมเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดปี2559 ออริจิ้นมียอดขายเป็นอันดับ5ของวงการอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตามแผนจะพัฒนาส่วนที่เป็นโรงแรมเพิ่มอีก 2 ทำเล และเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ เพื่อขยายธุรกิจอสังหาฯให้ครบวงจร
นายพีระพงศ์ กล่าวเสริมว่า ในไตรมาส 2 นี้ ยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ กับ 3 แบรนด์ จำนวน 4,400 ยูนิต มูลค่ากว่า 8,400 ล้านบาท ได้แก่ 1. ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท ขนาด 25 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ @ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นอาคารสูง50 ชั้น 1 อาคาร 1,100ยูนิต ราคาเริ่ม 1.49 ล้านบาท
3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 เฟส 2 อีก 3 อาคารมูลค่า 1,300 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 1.89 ล้านบาท โดยเฟส1มียอดขายไปแล้ว 70%
4.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นอาคารสูง38 ชั้น ราคาขายเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลล์พร้อมกันในวันที่ 17 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 นี้บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดขายที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้ได้ 14,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันรับรู้แล้ว 4,500 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายประมาณ 1,400-1,500 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท
สำหรับตลาดพรีเมียมแมส ระดับราคา 1.5 -3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มีสัดส่วนถึง 60-70% ของตลาดรวมคอนโดฯที่มีมูลค่า 1.8 แสนล้านบาท ยังมีช่องว่างในการทำตลาดอีกมากและบริษัทยังพัฒนาโครงการรองรับลูกค้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายขึ้นแท่นผู้นำตลาดพรีเมี่ยมแมสในปี 2562
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน