ปีนี้ไม่ว่าอะไรก็ยังไม่ฟื้นตัวให้ชื่นใจเท่าไหร่นัก ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เองก็ยังเติบโตแบบทรงตัว เช่นเดียวกับทางด้านสินเชื่อซึ่งเป็นตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสแรก แม้จะขยายตัวได้ในระดับที่ดี หากพิจารณาจากปริมาณยูนิตที่ได้รับสินเชื่อรวมขยายตัวที่ 14% แต่ยังต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปีนี้สินเชื่อจะไม่โตนักคือ หนี้ครัวเรือน ที่ล่าสุดมาแตะระดับ 79.9% ต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2559 แม้ว่าจากรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะพบว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปี 2559 จะชะลอความร้อนแรงลงจากปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับตัวลงราว 1.3% จากปี 2558 มาที่ระดับ 79.9% ต่อจีดีพี (ปี 2558 อยู่ที่ระดับ 81.2%) จากการหดตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ปล่อยโดยกลุ่มนอนแบงก์ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนปรับลดลงถึง 0.6% ต่อจีดีพี และการปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังตามนโยบายเครดิตที่เข้มงวดขึ้นของสถาบันการเงินส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี แต่ก็ช่วยบรรเทาความกังวลต่อปัญหาหนี้สะสมของครัวเรือนและเสถียรภาพของระบบการเงินลงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นราว 3.75 แสนล้านบาทจากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นยอดคงค้างที่ระดับ 11.47 ล้านล้านบาท (เติบโต 3.4% เทียบกับปี 2558) บ่งชี้ว่า ภาระหนี้ครัวเรือนสะสมยังคงอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายใหม่
ประกอบกับล่าสุด ธปท. มีแนวคิดที่จะวางกรอบการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต “สำหรับลูกค้ารายใหม่” โดยสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น จะจำกัดวงเงินสินเชื่อให้สูงสุดไม่เกิน 3 เท่า จากเดิม 5 เท่าต่อรายได้ ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิต จะจำกัดจำนวนการถือครองบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (เบื้องต้นคือ 30,000 บาทต่อเดือน) ให้ไม่เกิน 3 แห่ง และจากเดิมที่วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลเป็น 5 เท่าของรายได้ จะจำกัดไม่ให้เกิน 3 เท่า ตลอดจนดูแลการผ่อนชำระสินค้าของผู้บริโภคให้อยู่ในกลุ่มที่มีความจำเป็นเป็นหลัก มากกว่าการมุ่งใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าที่เกินความจำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการมุ่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังว่าจะช่วยดูแลการก่อหนี้ของ Gen Y ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 22% ของประชากรทั้งหมด โดยจะมีผลช่วยจำกัดการเติบโตของหนี้ครัวเรือนในอนาคตจากมิติของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล แต่ก็จะส่งผลเกี่ยวเนื่องให้การปล่อยกู้สินเชื่อในปี 2560 เติบโตในกรอบจำกัด
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้การปล่อยกู้สินเชื่อในปี 2560 เติบโตในกรอบจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มงวดของสถาบันการเงิน จากภาระหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งทำให้การขยายฐานลูกค้าใหม่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายในจังหวะที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และการเข้าสู่ตลาดแรงงานของกลุ่มนักศึกษาจบใหม่มีจำนวนน้อยลง เนื่องจากไปประกอบอาชีพอิสระ (Freelancer) มากขึ้น ทำให้ฐานลูกค้าศักยภาพใหม่ของทั้งผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตเติบโตในระดับจำกัด
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดการณ์ว่าสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตจะเติบโตอย่างค่อนข้างระมัดระวัง โดยให้กรอบการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 3.0-5.0% (ค่ากลางที่ 4.0%) และสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวที่ 5.0-7.0% (ค่ากลางที่ 6.0%)
ทั้งนี้ ใช่ว่าจะมีแต่ปัจจัยลบที่ทำให้สินเชื่อในปี 2560 ไม่เติบโต เพราะยังมีปัจจัยบวกที่พร้อมจะเป็นตัวจุดกระแสให้ตลาดเติบโตด้วยเช่นกัน
เครื่องรูดบัตร…ใบเบิกทางสู่ง e-Payment
แรงหนุนจากการขยายเครื่อง EDC ตามโครงการ National e-Payment หลังจากเริ่มโครงการรับโอนเงินระหว่างบุคคลต่อบุคคลผ่านระบบพร้อมเพย์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับธนาคารรัฐวิสาหกิจและพาณิชย์เตรียมติดตั้งเครื่อง EDC หรืออุปกรณ์รับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่ร้านค้าและหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ทั้งหมด 560,000 จุด โดยมี 18,000 เครื่องที่ติดตั้งในหน่วยงานราชการ สำหรับการติดตั้งในหน่วยราชการจะให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้ การรับ-จ่ายเงินภาครัฐจะเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ทั้งหมด รวมทั้งยังเป็นการลดค่าธรรมเนียมรับชำระผ่านบัตรให้ไม่เกิน 0.55% ต่อรายการ จากเดิม 1.5-2.5% ต่อรายการ และกรณีรูดบัตรชำระเงินที่หน่วยงานรัฐฟรี 2 ปีแรก
FinTech ช่วยลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน?
การเข้ามาของนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ หรือ FinTech (Financial Technology) ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เป็นสถาบันการเงินและผู้ประกอบการ FinTech หลายบริษัท ได้เข้ามาหารือกับ ธปท. ที่จะนำเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ เข้ามาใช้กับผู้บริโภคชาวไทย โดยนวัตกรรมทางการเงินที่เสนอมาประกอบด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ คือ 1.การนำเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดมาใช้ในการชำระเงิน ทั้งการจ่ายผ่านบิล จ่ายผ่านโมบาย แบงก์กิ้ง หรือการจ่ายด้วยการตัดบัญชี 2.การใช้เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ในการให้บริการอื่น ๆ 3.การยืนยันตัวตนเพื่อใช้บริการทางการเงิน เช่น การใช้ลายนิ้วมือ เสียง การสแกนม่านตาและใบหน้า 4.การใช้เทคโนโลยี Machine Learn และ Artificial Intelligence (AI) หรือโรบอท ซึ่งการเข้ามาของ FinTech จะช่วยลดต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาว และจะส่งผลให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ลดลง นอกจากนี้ยังเข้ามาช่วยในการให้บริการปล่อยสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคลให้ง่าย สะดวก และมีค่าธรรมเนียมต่ำลง
แคมเปญสินเชื่อดอกเบี้ยเร้าใจจากแบงก์รัฐ
แคมเปญปล่อยสินเชื่อจากธนาคารรัฐวิสาหกิจ ธนาคารรัฐวิสาหกิจได้ออกผลิตภัณฑ์การเงินที่จะให้บริการกับบุคคลเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยและปานกลาง อาทิ ธนาคารออมสิน จัดโครงการเงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อและสิทธิพิเศษสำหรับผู้สูงวัย และสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่รองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคลากรทางการศึกษา และผู้สูงอายุ ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการครู โครงการบ้าน ธอส. เพื่อข้าราชการ โครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ และโครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก
แนวโน้มหนี้ครัวเรือนในปี 2560 จะลดลงเป็นปีที่ 2 ในปี 2560 ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีโอกาสขยับลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยปรับลดกรอบคาดการณ์ลงมาที่ระดับ 78.5-80.0% ต่อจีดีพี (บนสมมติฐานจีดีพีปี 2560 ขยายตัว 3.3%) เทียบกับกรอบประมาณการเดิมที่ 80.5-81.5%
การเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตามไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงรายได้ครัวเรือน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แต่จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอให้เห็นภาพแล้วว่า โอกาสที่สินเชื่อในประเทศจะเติบโตได้นั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งการดูแลในเชิงนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และการสร้างวินัยทางการเงิน และปลูกฝังการบริโภคที่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานของตลาดสินเชื่อไทยในอนาคตด้วย