เทรนด์ฮอต อสังหาฯ ไทย จับมือต่างชาติพัฒนาโครงการ

1 ส.ค. 2560

เทรนด์ฮอต อสังหาฯ ไทย จับมือต่างชาติพัฒนาโครงการ

 

ในช่วงที่ธนาคารต่างเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ด้วย ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงปรับตัวเข้าสู่ยุคบริษัทใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ครองตลาด โดยมีส่วนแบ่งกว่า 60% ในตลาดรวม เนื่องจากมีเงินลงทุนโดยไม่ต้องพึ่งสถาบันการเงิน รวมถึงการจับมือกับกลุ่มทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้บ่อยครั้งในปัจจุบัน

ต่างชาติแห่ลงทุนในไทย เชื่อมีศักยภาพเติบโต
ปัจจุบันมีนักลงทุนจากต่างชาติให้ความสนใจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยค่อนข้างมาก ทั้งในกลุ่มของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงมาในรูปแบบบริษัทโดยนำเงินทุนและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาโครงการ เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในหลาย ๆ ด้าน
1. ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน
2. ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีมูลค่าไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น
3. มีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างชัดเจน ทั้งด้านการคมนาคม โดยเฉพาะระบบราง ที่จะเชื่อมต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้มากขึ้นในอีก 5 ปีต่อจากนี้ โดยเพิ่มเติมจาก 67 สถานีในปัจจุบันเป็น 222 สถานี ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยรอบสถานีใหม่ ๆ และมีแนวโน้มที่ราคาอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันอย่างมาก
4. มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน หากนับเฉพาะเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีถึง 1,905 โครงการ ทิ้งห่างอันดับสองอย่างกรุงจาการ์ตา ซึ่งมีโครงการที่กำลังขายอยู่เพียง 411 โครงการเท่านั้น

เทรนด์ใหม่ อสังหาฯ ไทยจับมือต่างชาติ
โดยที่ผ่านมามีบริษัทที่จับมือกับต่างชาติในการพัฒนาโครงการให้ได้เห็นกันบ้างแล้ว อาทิ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) จับมือกับกลุ่มทุนสิงคโปร์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับบริษัทในกลุ่มมิตซุย ฟูโดซัง ประเทศญี่ปุ่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น บริษัท ชาญอิสสระ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับกลุ่มจุนฟา และกลุ่มเทียนหยวน ประเทศจีน และบริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับจงเทียน คอนสตรัคชั่น ประเทศจีน ซึ่งการจับมือดังกล่าวได้ประโยชน์ทั้งด้านเงินทุนในการพัฒนาโครงการ เทคโนโลยี และช่องทางการตลาด

ออริจิ้นฯ สบช่อง จับมือกลุ่มทุนญี่ปุ่น

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมทุนกับญี่ปุ่น

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งมีข่าวจับมือกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ PARK24 ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์”

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้บริษัทจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทย่อย

ในเครือจำนวน 4 บริษัท บริษัทละประมาณ 49% ให้แก่บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
การร่วมทุนกันในครั้งนี้ จะช่วยให้ออริจิ้นได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ นวัตกรรม และดีไซน์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบญี่ปุ่นในโครงการใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญช่วยให้บริษัทสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น

ออริจิ้นฯ ปรับเป้า เพิ่ม 12 โครงการ กว่า 1.8 หมื่นล้าน
จากพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ ทั้งพราวด์ เรสซิเดนซ์ และโนมูระ เรียลเอสเตท ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทำให้บริษัทฯ ปรับแผนและเป้าหมายผลประกอบการปี 2560 ด้วย โดยปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จากเดิม 9 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.805 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการบ้านแนวราบโครงการแรกของออริจิ้นอีก 1 โครงการ โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังรวม 8 โครงการ

นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มเป้ายอดขายขึ้นจากเดิม 1.3 หมื่นล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท เป้ารายได้จากเดิม 6,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท รวมถึงอัพเดตสถานะแบ็กล็อก ณ ปิดครึ่งปีแรกที่ระดับ 25,285 ล้านบาท

ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยไปจับมือกับต่างประเทศ ซึ่งประโยชน์ที่ได้แน่นอนนอกจากเงินลงทุนแล้วคือเทคโนโลยี และดีไซน์ ซึ่งจะทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยก้าวไปสู่ระดับโลกได้ง่ายขึ้น

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

“ออริจิ้น”เพิ่มไลน์ธุรกิจเตรียมบุกปั้นบ้านหรูปีหน้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แย้มแผนปี’60 ชิมลางตลาดแนวราบครั้งแรก! ล่าสุด ตัด

อ่านต่อ14 ก.ย. 2559

ดังข้ามคืน! “ออริจิ้น” ซื้อหุ้น“พราวด์”บุกตลาดทุกเซ็กเมนต์

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ผนึกกำลังครั้งใหญ่ “พราวด์ เรสซิเดนซ์” หวังขึ

อ่านต่อ19 พ.ค. 2560