“ทำประกันสุขภาพเมื่อยังมีสุขภาพดี และศึกษาแบบประกันให้ดีก่อนซื้อ เพื่อเลือกได้ตรงตามความต้องการ”
เมื่อพูดถึงประกันสุขภาพ หลายคนคงคิดว่า ไม่จำเป็นต้องทำ ปีไหนไม่ป่วย ไม่ได้ใช้ ก็เหมือนจ่ายเงินทิ้งไปเปล่าๆ หรือคิดว่า ตัวเองแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ป่วยง่ายๆ แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ว่า เหตุไม่คาดคิดจะเกิดกับตัวเราหรือไม่ โรคภัยไข้เจ็บสมัยนี้ก็มีโรคแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย ป้องกันไว้ก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี และที่สำคัญตอนนี้เบี้ยประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วย รายละเอียดเป็นอย่างไร K-Expert ธนาคารกสิกรไทย มีข้อมูลมาฝาก
ประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างไร

สำหรับผู้ที่ทำประกันสุขภาพมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 หรือกำลังตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพนั้น ที่ประชุมครม. มีมติว่า เบี้ยประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้ 1.5 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 1 แสนบาท โดยประกันสุขภาพที่นำมาลดหย่อนได้มีดังนี้
1. การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
2. การประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
3. การประกันภัยโรคร้ายแรง
4. การประกันภัยการดูแลระยะยาว
จะเห็นได้ว่า หากซื้อประกันสุขภาพเอาไว้ แม้ไม่ได้ใช้ ก็ไม่ได้จ่ายเงินไปฟรีๆ สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีได้ เรียกว่า ได้ทั้งความคุ้มครองสุขภาพ และได้ประหยัดภาษี
ทั้งนี้ แนะนำให้เช็กกับบริษัทประกันก่อนว่า ประกันสุขภาพที่เราซื้อไว้ หรือสนใจจะซื้อนั้น สามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การซื้อประกันสุขภาพ อยากให้มองว่า ซื้อเพื่อคุ้มครองสุขภาพ หรือช่วยบรรเทาค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยภาษีที่ประหยัดได้จากเบี้ยประกันเป็นผลพลอยได้ที่เพิ่มเข้ามา
ก่อนซื้อประกันสุขภาพต้องดูอะไรบ้าง

สำหรับผู้ที่วางแผนจะซื้อประกันสุขภาพ มีหลายเรื่องที่ต้องพิจารณา ดังนี้
- เช็กสวัสดิการ
อันดับแรกดูก่อนว่า เรามีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างไร ทั้งสวัสดิการจากที่ทำงาน สวัสดิการจากภาครัฐอย่างประกันสังคม เพียงพอหรือไม่หากเราเจ็บป่วย จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเองทุกครั้งไหม จ่ายเพิ่มในแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินเท่าไร เพราะหากการเจ็บป่วยในแต่ละครั้งต้องจ่ายเพิ่มทุกครั้งและไม่ใช่ครั้งละน้อยๆ การซื้อประกันสุขภาพจะตอบโจทย์ ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายได้
- เช็กประกันที่เคยทำไว้
ลองดูว่าประกันที่เราเคยทำไว้เป็นแบบไหน มีความคุ้มครองสุขภาพอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะบางครั้งเราซื้อแล้วก็เก็บเล่มกรมธรรม์ไว้อย่างดี ไม่เคยนำออกมาดู ซึ่งเราอาจเคยซื้อพ่วงกับประกันชีวิตไว้ก็ได้ ถ้ามีความคุ้มครองสุขภาพอยู่ด้วย ลองดูว่า ครอบคลุมอะไรบ้าง คุ้มครองโรคร้ายแรงไหม ยิ่งถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ก็ควรที่จะซื้อประกันโรคร้ายแรงไว้ด้วย หรือหากมีอยู่แล้ว แต่วงเงินไม่มากนัก อาจพิจารณาเพิ่มวงเงินให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น
- เช็กความสามารถในการจ่ายเบี้ย
ข้อนี้เรียกว่าสำคัญมาก คือ เงินในกระเป๋าเรานั่นเอง เพราะประกันสุขภาพถือเป็นเบี้ยทิ้งปีต่อปี หากเราไม่เจ็บป่วย ไม่ได้ใช้บริการประกันสุขภาพเลย พอครบปีความคุ้มครองก็หมดไป แต่ต้องบอกว่า เงินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ย เปรียบเหมือน ซื้อยันต์ป้องกันภัยช่วยให้อุ่นใจ หากเจ็บป่วย ก็มีคนช่วยจ่าย ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองจ่ายเต็มๆ และถ้ารอให้เจ็บป่วย หรือเป็นโรคใดเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยซื้อประกัน บริษัทประกันอาจไม่รับ หรือรับทำแต่ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนก็ได้ โดยเงินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าใช้จ่ายประจำวันหรือเป้าหมายการเงินอื่นๆ ของเรา
- เช็กแบบประกันที่เหมาะกับตัวเรา
เมื่อตัดสินใจจะทำประกันสุขภาพให้ตัวเอง ก็ควรเลือกแบบประกันที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด โดยหลักๆ แล้ว ประกันสุขภาพ สามารถแบ่งเป็น “แบบแยกค่าใช้จ่าย” และ “แบบเหมาจ่าย” โดยแบบแยกค่าใช้จ่ายจะระบุวงเงินค่ารักษาในแต่ละรายการ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าพยาบาล ค่าผ่าตัด ฯลฯ หากมีค่าใช้จ่ายรายการไหนที่เกิดขึ้นสูงเกินวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์ จะต้องจ่ายส่วนเกินเพิ่มเอง ผู้ที่ต้องการทำประกันแบบนี้ แนะนำให้ดูว่า ค่าห้องของโรงพยาบาลที่คาดว่าหากเจ็บป่วยจะเข้ารับการรักษาอยู่ที่เท่าไร ก็เลือกค่าห้องในแบบประกันให้สอดคล้องกัน ยิ่งเลือกค่าห้องในอัตราสูงเท่าไร วงเงินค่ารักษารายการอื่นๆ ก็จะสูงตามไปด้วย สำหรับแบบเหมาจ่าย มักไม่จำกัดวงเงินค่ารักษาในแต่ละรายการ (อาจมีบางกรมธรรม์จำกัดค่าใช้จ่ายบางรายการ เช่น ค่าห้อง) โดยจะกำหนดมาให้ว่าใน 1 ปี สามารถเคลมค่ารักษาได้ในวงเงินเท่าไร ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการทำประกันให้ครอบคลุมค่ารักษาที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุด แต่ต้องจ่ายเบี้ยที่สูงขึ้น เพราะโดยทั่วไปประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย
การซื้อประกันสุขภาพเหมือนซื้อความอุ่นใจให้ตัวเอง เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง และที่สำคัญ ซื้อตอนยังแข็งแรงดี เพราะถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงหรือป่วยเป็นโรคใดแล้ว อาจทำประกันไม่ได้แล้วก็ได้
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com
