“ไม่ก่อหนี้เกินตัว โดยภาระผ่อนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำต่อเดือน จะได้ไม่เป็นภาระที่หนักเกินไป”
เมื่อพูดถึงการเป็นหนี้ เชื่อว่า คงไม่มีใครอยากเป็น ถ้าไม่จำเป็น แต่จะว่าไปแล้ว คนเรามีความจำเป็นที่เกี่ยวกับเงินอยู่เสมอ ซื้อของ กินข้าว ไปเที่ยว ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงิน ทำให้หลายครั้งเราต้องกลายเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเพราะรายได้ไม่เพียงพอใช้จ่ายทำให้ต้องหยิบยืม หรือต้องการสร้างสินทรัพย์ เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ เป็นของตัวเอง ก็ต้องเป็นหนี้ด้วยการขอสินเชื่อ (หลายคนอยากมีทั้ง 2 อย่าง แต่ถามความจำเป็นหรือยังว่า บ้านกับรถอันไหนควรมาก่อน )
และเมื่อเป็นหนี้ ก็มักเป็นภาระผูกพันที่ดึงเงินในกระเป๋าของเราออกไปทุกเดือน แล้วถ้ารายได้ไม่ได้เข้ามาสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่แน่ไม่นอน มากบ้างน้อยบ้าง K-Expert ธนาคารกสิกรไทย จึงมีคำแนะนำสำหรับคนที่มีวิถีชีวิตแบบ Freelance ที่ตอนนี้มีภาระหนี้ หรือคิดจะมีหนี้ แล้วกังวลใจ กล้าๆ กลัวๆ กับการเป็นหนี้มาฝาก 4 วิธีด้วยกันดังนี้
1. ทำบันทึกรับ-จ่าย และกำหนดงบประมาณใช้จ่าย
การทำบันทึกรับ-จ่าย และการกำหนดงบประมาณของตัวเองในการใช้จ่ายที่เหมาะสม เริ่มต้นจากรายจ่ายจำเป็นและรายจ่ายประจำที่เกิดขึ้นทุกเดือน จากนั้นทำการตั้งงบประมาณรายจ่ายซึ่งจะช่วยทำให้เราไม่ใช้เงินเกินตัว และอาจจะนำไปสู่ปัญหาเงินหมุนไม่ทันได้ นอกจากนั้นการพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะทำให้เรามีเงินออมเพิ่มขึ้นซึ่งสามารถนำไปโปะหนี้เพื่อลดระยะเวลาการผ่อนชำระ ลงได้อีกด้วย
บันทึกรายรับรายจ่ายไม่จำเป็นต้องทำใส่สมุดเท่านั้น ทำผ่านมือถือก็ได้
2. สำรองเงินไว้จ่ายหนี้ในวันที่เงินขาดมือ
จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็น Freelance หรือมนุษย์เงินเดือน การเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งสำหรับ Freelance ด้วยแล้ว ยิ่งขาดไม่ได้ เนื่องจากในบางครั้งอาจมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับการทำงาน เช่น เจ็บป่วย หรือมีความจำเป็นจนไม่สามารถรับงานได้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการผ่อนหนี้ได้ ดังนั้น ในวันที่มีรายได้เข้ามามาก ก็ไม่ใช่ใช้จ่ายจนหมด แต่ให้แบ่งมาเก็บออมเป็นเงินสำรองไว้ประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น หากมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินสำรองไว้ 120,000 บาท เผื่อวันที่เงินขาดมือจริงๆ จะได้ไม่เดือดร้อน
3. คำนวณหารายได้ขั้นต่ำของตัวเอง (Baseline Income)
เนื่องจากรายได้ของ Freelance ไม่แน่ไม่นอน ดังนั้น Freelance ควรคำนวณหารายได้ล่วงหน้าในอีก 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า โดยคำนวณจากสัญญาจ้างงานที่มีอยู่ เช่น
สมมติว่า 6 เดือนนี้จะมีรายได้จากสัญญาจ้างงานที่มีอยู่ในมือประมาณ 450,000 บาท ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะมีรายได้อยู่ที่เดือนละ 75,000 บาท คราวนี้เรื่องที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือ ความสม่ำเสมอของงานจากผู้ที่จ้างเรา หากเป็นขาประจำ เราอาจคาดการณ์ได้ว่าจะได้งานทุกๆ กี่เดือน ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจมากขึ้นว่ารายได้ขั้นต่ำของเราอยู่ที่ประมาณเท่าไร
เมื่อรู้รายได้ขั้นต่ำแล้วก็ให้คำนวณความสามารถในการรับภาระหนี้ ซึ่งไม่ควรเกิน 30% ของรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำ ดังนั้นในกรณีตัวอย่าง จะสามารถรับภาระหนี้ได้ประมาณ 22,500 บาทต่อเดือน
4. หางานที่ให้รายได้สม่ำเสมอมากขึ้นเพื่อเพิ่มความแน่นอนในการจ่ายหนี้
ดังที่กล่าวมาข้างต้น หากเรารู้ว่าลูกค้าคนไหนเป็นขาประจำ เราก็จะมีรายได้ที่มีความสม่ำเสมอมากกว่าการมีแต่ลูกค้าขาจรเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเรื่องของการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการหาลูกค้าใหม่ ยิ่งสำหรับคนที่มีหนี้แล้ว หากมีลูกค้าคนไหนมาผูกปิ่นโตจ้างเป็นประจำ แม้ค่าแรงจะได้ไม่เยอะ แต่มีความสม่ำเสมอ อาจจะดีกว่าการได้รายได้วูบวาบแต่นานๆ มาที
สิ่งสำคัญของการเป็นหนี้ แต่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขคือ การไม่ก่อภาระหนี้ให้สูงจนเต็มเพดาน เพราะหากทำแบบนั้นแล้ว จะเริ่มเกิดความกดดันที่จะต้องรับงานให้เยอะเพื่อนำไปจ่ายเจ้าหนี้ ซึ่งอาจจะหมายถึงการที่ต้องรีบทำงานหลายชิ้นในเวลาเดียวกันจนคุณภาพของงานลดลง หรือจำใจรับงานบางชิ้นทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยากรับ เพราะผลงานที่สร้างขึ้นมาแต่ละชิ้นย่อมส่งผลถึงการตัดสินใจในการให้งานของลูกค้าในอนาคตได้ ดังนั้น หากมัวแต่สร้างหนี้แบบไม่มีเหตุผล เช่น หนี้จากการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือการใช้ชีวิตหรูหราเกินจำเป็น ชีวิตของ Freelance อาจจะไม่มีอิสระอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก อยากจะหยุดอยากจะพักก็ทำไม่ได้ เพราะมีเจ้าหนี้แบมือรออยู่ทุกสิ้นเดือน
หวังว่า 4 วิธีง่ายๆ ที่แนะนำนี้จะช่วยให้คนเป็น Freelance อยู่รอดปลอดภัยจากภาวะหนี้ท่วมหัวได้ไม่ต้องกังวลกับการเป็นหนี้จนส่งผลกระทบกับชีวิตและการสร้างสรรค์ผลงาน
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย พิเชฐ ด่านไทยนำ K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com