ปัญหาหนึ่งของผู้กู้บ้านที่มักพบเจอบ่อย ๆ คือ กู้ซื้อบ้านไม่ผ่านเพราะบัตรเครดิต ซึ่งธนาคารมักจะใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้กู้บ้านเสมอไม่ว่ากำลังใช้งานบัตรอยู่หรือยกเลิกไปแล้ว เพราะประวัติการชำระทั้งหมดนี้จะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร ซึ่งจะบอกได้ทันทีว่าผู้กู้บ้านมีประวัติทางการเงินดีหรือไม่
ดังนั้น สำหรับใครที่คิดจะขอสินเชื่อบ้านในเร็ว ๆ นี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องบริหารจัดการบัตรเครดิตในมือให้มีประวัติสวยพร้อมสำหรับการกู้ซื้อบ้าน มาดู 7 วิธีใช้บัตรเครดิตอย่างไรเพื่อให้ธนาคารไหน ๆ ก็อยากให้สินเชื่อ
1. ใช้เท่าไหร่จ่ายเท่านั้นเสมอ
ทุกธนาคารนั้นเปิดโอกาสให้เจ้าของบัตรสามารถชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำได้ โดยไม่ต้องจ่ายเต็มที่ใช้ในแต่ละรอบบิล แต่อย่าได้ใช้โอกาสนั้นเป็นอันขาดหากคิดจะกู้ซื้อบ้าน เพราะนอกจากจะเสียดอกเบี้ยที่แพงเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการเงินกู้แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเจ้าของบัตรไม่มีเงินพอจะชำระค่าบัตรเครดิตได้ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นพฤติกรรมการใช้เงินในด้านลบของผู้กู้บ้านที่ธนาคารไหน ๆ ต่างก็เบือนหน้าหนี
ทั้งนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศทยอยให้ธนาคารและผู้ให้บริการธุรกิจบัตรเครดิต ปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตกลับมาเป็นปกติ โดยเพิ่มจาก 5% ในปี 2566 เป็น 8% ในปี 2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป และจะปรับกลับมาเป็นปกติที่ 10% ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม หากกรณีลูกค้าไม่สามารถกลับมาจ่ายขั้นต่ำในอัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น 8% ของยอดหนี้ได้ จะมีการช่วยเหลือคือปรับเปลี่ยนวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต แปลงเป็นสินเชื่อแบบมีระยะเวลา (Term Loan) แต่มีเงื่อนไขต้องปิดบัตรเครดิตใบที่จ่ายไม่ไหวด้วย
ยกตัวอย่างการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต หากวงเงิน 80,000 บาท ดอกเบี้ย 16% ต่อปี
- ถ้าจ่ายขั้นต่ำ 5% ทุกเดือน จะใช้เวลาปิดหนี้ทั้งหมด 10 ปี 3 เดือน โดยต้องจ่ายดอกเบี้ย 28,000 บาท
- ถ้าจ่ายขั้นต่ำ 8% ทุกเดือน จะใช้เวลาปิดหนี้ทั้งหมด 6 ปี 3 เดือน โดยต้องจ่ายดอกเบี้ย 16,000 บาท
- ถ้าจ่ายขั้นต่ำ 10% ทุกเดือน จะใช้เวลาปิดหนี้ทั้งหมด 5 ปี โดยต้องจ่ายดอกเบี้ย 12,000 บาท
2. จ่ายตรงเวลาอย่าให้ทวงถาม
การชำระหนี้บัตรเครดิตให้ตรงเวลาตามที่ธนาคารกำหนดไว้ถือเป็นวินัยทางการเงินอย่างหนึ่งที่ผู้กู้บ้านต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการชำระหนี้ให้ตรงตามรอบบิลเพื่อพิสูจน์ให้ธนาคารเชื่อว่าผู้กู้บ้านมีความรับผิดชอบต่อหนี้ของตนเองโดยไม่ต้องติดตามทวงถาม
ในทางกลับกัน ถ้ามีการค้างชำระบัตรเครดิตจนมีการติดตามทวงถาม ธนาคารก็จะเห็นว่าผู้กู้บ้านมีโอกาสค้างชำระค่าผ่อนบ้าน และบางธนาคารจะส่งฟ้องศาลทันทีหากไม่จ่ายบัตรเครดิต 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งอาจทำให้หมดโอกาสขอสินเชื่อกับธนาคารไปอีกนาน
3. ไม่ใช้บัตรเครดิตเกินตัว
การใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตจนเงินหมดแบบเดือนชนเดือนนั้นเป็นพฤติกรรมที่ธนาคารรับไม่ได้ เช่นเดียวกับการใช้จ่ายจนเต็มวงเงินบัตรเครดิตทุกเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของบัตรมีการใช้จ่ายจำนวนมากเป็นประจำ
ดังนั้นผู้กู้บ้านจึงต้องปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยใช้บัตรรูดซื้อสินค้าและบริการเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ธนาคารเห็นว่าผู้กู้บ้านสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่า ในขณะเดียวกันก็มีเงินเก็บออมสำหรับบ้านในฝันของตนเองด้วย
เทคนิคการใช้บัตรเครดิตให้คุ้มค่า
6 เทคนิค การใช้บัตรเครดิตให้คุ้มค่า อีกหนึ่งทิปส์ประหยัดเงินซื้อบ้านในอนาคต
4. อย่าตกหลุมพรางเงินผ่อน
แม้ว่าการผ่อนบัตรเครดิต 0% นั้นเป็นเรื่องดีที่ทำให้เจ้าของบัตรไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและลดภาระในการชำระค่าสินค้า แต่การใช้บัตรเครดิตผ่อนสินค้าก็เหมือนเป็นดาบสองคมที่ทำให้เจ้าของบัตรมีประวัติหนี้ค้างชำระตามจำนวนยอดเงินที่ยังผ่อนชำระไม่หมดในเครดิตบูโร
รวมทั้งมีโอกาสทำให้รายได้ที่ใช้สำหรับประเมินความสามารถในการผ่อนของผู้กู้บ้านน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากธนาคารต้องนำภาระการผ่อนบัตรเครดิตไปหักกับรายได้ของผู้กู้บ้าน
นอกจากนี้ แม้ว่าจะไม่ต้องจ่ายเงินเป็นก้อนในคราวเดียว แต่คุณก็ยังต้องจ่ายตามจำนวนภายในเวลาที่กำหนด จึงต้องคิดดูว่าจ่ายไหวหรือไม่ ถ้าจ่ายไม่ตรงเวลา ไม่ตามจำนวน อาจต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มโดยไม่จำเป็น
หากใครมีภาระผ่อนอยู่หลายรายการ จำไม่ได้ว่าผ่อนอะไรบ้าง ลองบันทึกลงในปฏิทินสำหรับจัดการกับบิลเรียกเก็บจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ที่นี่

5. ปิดบัตรเครดิตที่ไม่จำเป็น
ยิ่งเปิดบัตรเครดิตมาถือไว้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีวงเงินรวมมากเท่านั้น โอกาสที่จะเกิดหนี้ก้อนใหญ่ก็มากเป็นเงาตามตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ธนาคารเห็นว่าผู้กู้บ้านมีบัตรเครดิตไว้ใช้จ่ายแต่พอดีและไม่มีโอกาสสร้างหนี้ก้อนโตมาแข่งกับหนี้บ้าน
ผู้กู้บ้านก็ไม่ควรถือบัตรไว้มากมายเกินความจำเป็น ซึ่งเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการยกเลิกบัตรที่ไม่ค่อยได้ใช้แล้วเหลือบัตรเครดิตที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองเก็บไว้เพียง 2-3 ใบก็เพียงพอแล้ว
6. อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต
ผู้กู้บ้านต้องตระหนักอยู่เสมอว่าบัตรเครดิตคือบัตรที่ใช้จ่ายแทนเงินสดไม่ใช่แหล่งเงินกู้ ถ้าเมื่อใดที่มีการใช้บัตรเครดิตกดเงินสดออกมาก็ถือว่าจบเกม เพราะนั่นหมายความว่าผู้กู้บ้านกำลังมีปัญหาทางการเงินถึงขนาดยอมเสียค่าธรรมเนียมการกดเงินสดและดอกเบี้ยแพง ๆ เพื่อนำเงินสดไปใช้จ่าย
ธนาคารก็จะมองว่าถ้าเพิ่มหนี้บ้านเข้าไปก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเงินของผู้กู้บ้านแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการปล่อยให้กู้ซื้อบ้าน
กู้บ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย
กู้บ้านให้ผ่านฉลุยด้วย 8 เทคนิคที่คุณควรรู้ก่อนซื้อบ้าน
7. ปลดเปลื้องหนี้บัตรก่อนกู้ซื้อบ้าน
หากผู้กู้บ้านมีหนี้บัตรเครดิตอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะผ่อนสินค้าหรือกำลังจ่ายขั้นต่ำอยู่ หากเดินหน้ายื่นเรื่องขอกู้ซื้อบ้านทันทีก็คงจะผ่านได้ยาก
ดังนั้น ผู้กู้บ้านจึงต้องลงมือบริหารจัดการหนี้สินให้หมดสิ้นไปเสียก่อน และทำให้บัตรอยู่ในสถานะจ่ายเต็มและจ่ายตรงจนหนี้คงเหลือกลายเป็น 0 ทุกเดือน แล้วอย่าจ่ายเกินตัวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 ปี และก่อนยื่นขอกู้ ไม่ใช้จ่ายบัตรเครดิต 3 เดือนสุดท้ายไปกับการผ่อนหรือซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น การขอกู้ซื้อบ้านจึงจะพอมีลุ้นบ้าง
แต่ทั้งนี้ บัตรเครดิตเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้านของแต่ละธนาคารเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการที่ส่งผลให้การขอกู้ซื้อบ้านผ่านหรือไม่ผ่าน อย่างไรก็ดี การสร้างประวัติทางการเงินที่ดีด้วยการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีย่อมทำให้โอกาสของผู้กู้บ้านสูงขึ้นหรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่เหตุผลด้านเครดิตเสียที่จะดับฝันการกู้ซื้อบ้าน
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ