เคล็ดลับเก็บออม

27 มิ.ย. 2555

Punika Thaipitakkul

ย่างเข้าสู่กลางปีกันแล้ว รวดเร็วมากวันเวลา สำหรับใครที่มีความตั้งใจว่า ปีนี้ อยากเริ่มต้นเก็บออม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่ได้สักที วันนี้ ดาด้า ก็จะมาร่วมพูดคุยกันในเรื่องที่ว่านี้ เพราะดาด้าเองก็อยากจะเริ่มต้นเก็บออมเหมือนกันค่ะ

มีคำกล่าวที่บอกกันว่า หาเงินมาได้มากน้อยแค่ไหน ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักบริหารเงินที่มีอยู่ เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากทีเดียวนะคะ  เคยเป็นไหมคะว่า เมื่อตอนที่เรามีรายได้ไม่มาก เราก็คิดว่า ถ้าเรามีเงินมากขึ้น เราคงได้เก็บ แต่พอเรามีรายได้มากขึ้น แต่เราก็เก็บไม่ได้อยู่ดี นั่นน่ะสิเนอะ ทำไมล่ะ ?

ส่วนใหญ่เท่าที่เจอจากประสบการณ์ตรงก็มักจะเป็นไปในรูปแบบที่ว่า พอเรามีรายได้เยอะขึ้น เราก็มักจะใช้จ่ายมากขึ้น

…ว่าไหมคะ

หากเราลองปรับว่า แม้จะมีเงินมากขึ้น แต่ใช้ให้เท่าๆ เดิม หรือ ใช้ให้น้อยลง เราอาจจะรวยขึ้นก็ได้นะ เอาน่า เมื่อเริ่มต้นจะทำอะไรดีๆ ขอให้สู้ๆ ไว้ ทำใจสบายๆ เดี๋ยวก็มีหนทางแหละนะ

วันนี้ ลองมาดูกันซิว่า หากจะเริ่มออม มีวิธีใดบ้าง พอเป็นแนวทาง

-เตรียมพร้อมก่อนการออม
การออมนั้น ต้องชัดเจนว่า วินาทีต่อไป เราจะมุ่งมั่นแน่วแน่  เราต้องการปรับพฤติกรรมของเราใหม่ เมื่อเราชัดเจนกับความรู้สึกตรงนี้ ประกาศในใจชัดๆ หรือตะโกนออกมาดังๆ กับตัวเอง ( เอาแบบเวลาอยู่คนเดียว ไม่รบกวนคนอื่นนะจ๊ะ อิอิ) ว่า ฉันมุ่งมั่นกับการออม เย้ เย้ เย้ ฉันเก็บตังค์ได้ ฉันเก็บออมสำเร็จ  สู้ๆๆๆ

-กระปุกออมสิน ช่วยได้
เมื่อชัดเจนกับความรู้สึก เราก็ต้องหาตัวช่วย ลองหากระปุกน่ารักๆ มาวางไว้ที่โต๊ะทำงานในบ้าน หรือในที่ใดที่หนึ่งของบ้านที่ปลอดภัย และเรามีโอกาสเห็นเสมอๆ เพื่อเป็นการเตือนตัวเองให้หยอดเงินเข้าไปวันละเล็กวันละน้อย เพื่อฝึกนิสัยการออม หยอดกระปุกทุกครั้งที่มีเงินเหลือนะจ๊ะ

-บัญชีรายรับรายจ่าย
บางคนอาจไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่ามันจุกจิก แต่บางคนอาจรู้สึกควบคุมตัวเองได้ดีกว่า หากมีสมุดเล่มเล็กๆ เพื่อจดรายรับ รายจ่าย  เพราะอาจช่วยให้ตรวจสอบการใช้เงินได้ดีขึ้น เอาเป็นว่าแล้วแต่ความถนัดละกันค่ะ แต่ดาด้า แนะอีกวิธีสำหรับใครที่ไม่ถนัดการจด ก็คือ แค่ว่า ก่อนใช้เงินก็ถามตนเองว่า มันใช่แล้วหรือกับสิ่งนี้ที่เราจะต้องจ่ายออกไป

-ความจำเป็น หรือเปล่า ??
นี่แหละจ้ะ สืบเนื่องมาจากหัวข้อที่แล้ว  “ความจำเป็น”  ไม่ใช่แค่ว่า “อยากได้”  พิจารณาก่อนซื้อ ก่อนจับจ่ายจะได้ไม่ต้องว้าวุ่นใจยามบิลบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้าน

-ทำงานพิเศษ
บางคนหากมีหนทาง สร้างรายได้เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเปิดท้ายขายของ   ทำขนมขาย ฯลฯ ก็ลองดูเลยค่ะ ขอเพียงเป็นงานสุจริต และไม่เบียดบังงานประจำ เราก็จะมีแหล่งรายได้สำรอง ทั้งนี้ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย อย่าโหมงานจนเสียสุขภาพ นั่นก็ไม่คุ้มกัน

-ฝากธนาคารแบบฝากประจำ
เพราะการฝากเงินแบบประจำนี้จะเป็นการบังคับให้เราถอนออกมายาก  ทำให้มีโอกาสเก็บตังค์ได้มากกว่า

-เศรษฐกิจพอเพียง
ในหลวงของเราทรงสอนพวกเราในเรื่องนี้เสมอ และเป็นสิ่งสำคัญที่เรานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพียงแต่ขอให้ปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต การใช้เงินเสียใหม่  ใครๆ ก็ทำได้ ขอเพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง

-เก็บตัว
ช่วงไม่มีตังค์ แนะนำว่า น่าจะเก็บตัวอยู่บ้าน อย่าไปซ่า ข้างนอกมากนัก เพราะการอยู่บ้านจะประหยัดค่าเดินทาง และรายจ่ายอื่นๆ ที่จะตามมา  ยกเว้นแต่ว่า มีเจ้ามือเลี้ยง เราค่อยแต่งตัวออกไปซ่าได้  ฮา ฮา ฮา

-ให้เงินทำงาน
เมื่อมีเงินเก็บและอยากนำไปลงทุนก็ต้อง ติดตามข่าวสารด้านการลงทุน ถามตนเองว่าต้องการผลตอบแทนรูปแบบใด มากน้อยเท่าไร และอีกสิ่งที่สำคัญคือ เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน หากรับความเสี่ยงได้สูง ก็เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อาจแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปไว้ที่หุ้น 70 % , ตราสารหนี้ 20% และเงินฝาก 10%
หากรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง-สูง อย่างเช่น ลงทุนในหุ้น 50  % , ตราสารหนี้ 30% และเงินฝาก 20%

หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็ไปเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง เช่น ลงทุนในหุ้นสัก  30 % , ตราสารหนี้ 40% และเงินฝาก 30 %

ตรงนี้ไม่มีสูตรตายตัว บางคนอาจไม่ถนัดเล่นหุ้นก็อาจแค่เปิดบัญชีธนาคาร กับซื้อตราสารหนี้  หรือบางคนอาจซื้อทองคำแท่ง ฯลฯ  ตรงนี้เราก็จัดสรรกันไปตามแต่เราจะเลือก

แต่ที่สำคัญเราต้องสร้างพอร์ตการลงทุนให้เป็นระบบ หลังจากเราประเมินตัวเองได้ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน  เมื่อวางแผนได้แล้วก็ลุยเลย หากจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ EFT หรืออนุพันธ์ เราก็ต้องไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ ( บล.) หรือที่เรียกกันว่า “โบรกเกอร์”

หากเราอยากไปลงทุนในกองทุนรวม เราต้องไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แต่ถ้าเราต้องการแค่ฝากธนาคารทั่วไป ก็ง่ายมาก แค่ไปเปิดบัญชีตามธนาคารต่างๆ หรือถ้าใครจะลงทุนในแบบอื่นใดๆ ก็จัดไปตามใจรัก และความถนัดส่วนตัว

พูดง่าย แต่ทำไม่ง่าย ยิ่งช่วงนี้ ค่ากิน ค่าอยู่ ของกิน ของใช้ก็แพงขึ้น แต่ว่า หากเรามีวินัย พยายามจัดสรรการใช้จ่ายให้ดี ตัดสิ่งไม่จำเป็นออกไปให้เยอะๆ หน่อย แม้ราคาข้าวของจะแพงขึ้น แต่เราก็จะพยุงตัวเองได้ในระดับหนึ่งนะคะ ตอนนี้ อาจยังไม่มีเงินเก็บ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่สร้างหนี้ให้เพิ่มขึ้น เป็นภาระแก่ชีวิต ก็สบายตัวไปมากโขแล้วละค่ะ

ขอให้กลางปีนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน

สู้ๆ ค่ะ

 

 

 

 

 

เขียนความเห็น